กฎหมายหมิ่นฯ กำลังพิสูจน์จุดยืนของกลุ่มสิทธิมนุษยชน
Lese Majeste Law Tests Mettle of Human Rights Groups
By Marwaan Macan-Markar
August 31, 2009, ที่มา – IPS
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
กรุงเทพ – กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่น่าสะพรึงกลัว ค่อยๆกลายเป็นสนามพิสูจน์จุดยืนในหลักการของกลุ่มสิทธิมนุษยชนนานาชาติอันมีชื่อเสียง
เมื่อไม่นานมานี้ การดำเนินการของกลุ่มต่างๆ เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล (the Amnesty International -AI) ในอังกฤษ และองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนโลก (Human Rights Watch – HRW) ที่ตั้งอยู่ในนิวยอร์คต่างเลือกที่จะใช้วิธีปฎิบัติคล้ายคลึงกัน นั้นก็คือ พวกเขาเลือกที่ใช้วิธีเงียบต่อสาธารณะชน อย่างดีก็แค่แสดงอาการรับรู้ เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายอายุ ๑๐๐ ปี
อีกนานแค่ไหนที่แกนนำคู่แฝดของกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนของโลกจะเลิกทำตัวเงียบเชียบแบบนี้ ยิ่งมาเห็นได้ชัดเมื่อมีการตัดสินของศาลไทยเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ศาลอาญากรุงเทพได้ตัดสินจำคุกนักเคลื่อนไหวทางการเมืองถึง ๑๘ ปี จากการปราศัยต่อสาธารณะชน โดยผู้พิพากษานั่งบัลลังค์พิจาณาคดีทั้ง ๓ คน ต่างตัดสินว่า เธอได้หมิ่นราชวงศ์อันเป็นที่เคารพของราชอาณาจักร
ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล อายุ ๔๖ ปี ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดตามกฎหมายหมิ่นฯ ๓ กระทง ซึ่งผู้ละเมิดกฎหมายนี้อาจถูกตัดสินจำคุกด้วยโทษสูงสุดถึงกระทงละ ๑๕ ปี ในการทำลายภาพพจน์ของราชวงศ์
หนึ่งในสามของผู้พิพากษาได้กล่าวในระหว่างการอ่านคำพิพากษาว่า “ศาลพบว่า ดารณีตั้งใจที่จะดูหมิ่น และอาฆาตกษัตริย์ และราชินี”
การพิพากษาดารณี หรือเป็นที่รู้จักกันว่า “ดา ตอร์ปิโด” ซึ่งขี้นชื่อว่ามีวาทะอันร้อนแรง ได้ถือว่าเป็นคำตัดสินที่รุนแรงที่สุดในยุคนี้ เป็นการตัดสินต่อจากคดีของชาวไทยอีกคนหนึ่งเมื่อเดือนเมษายนซึ่งโดนจำคุก ๑๐ ปีในข้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ จากการโพสต์พระฉายาลักษณ์ในอินเตอร์เน็ต
ดารณี ผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรของไทย ซึ่งถูกทำรัฐประหารปล้นอำนาจในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ดารณีถูกจับในเดือนกรกฎาคม และถูกจับหนึ่งอาทิตย์หลังจากทำการปราศัยในระหว่างการชุมนุมของฝ่ายสนับสนุนทักษิณในกรุงเทพ และไม่ได้รับอนุญาตให้มีการประกัน
หลังจากเงียบไปนาน องค์กรนิรโทษกรรมสากลเพิ่งเปิดปากออกมาในเดือนมิถุนายนนี้ เมื่อมีการเริ่มต้นพิจารณาคดีของดารณี องค์กรนริโทษกรรมสากลได้วิจารณ์ศาลที่สั่งให้มีการพิจารณาคดีอย่างปิดลับ ซึ่งผู้พิพากษาอ้างเหตุผลว่า “เป็นมาตราการความมั่นคงของชาติ”
แต่องค์กรนิรโทษกรรมสากลยังคงเลี่ยง ที่จะแสดงความกังวลออกมาในเรื่องที่ว่า กฎหมายนั้นละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกหรือไม่ ก่อนหน้านี้องค์กรเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนโลก ได้ออกแถลงการณ์ แต่เลี่ยงที่จะพูดถึงสิทธิพื้นฐานนี้ด้วยเช่นกัน
นายเบนจามิน ซาแว็คคี นักวิจัยด้านเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ขององค์กรนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า “เรารู้สึกว่า การดำเนินงานในภาคเอกชนจะได้ผลมากกว่ากับภาครัฐ ซึ่งจะเป็นหนทางที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพที่สุดในการสนองตอบต่อกฎหมายหมิ่นฯในทุกวันนี้” “เรามีความตระหนัก โดยปราศจากข้อสงสัยในความอ่อนไหวของกฎหมายนี้”
นายเบนจามินให้สัมภาษณ์โดยอธิบายว่า “มีความเสี่ยงในการแข่งขันเพื่อผลประโยชน์ หนึ่งในนั้นก็คือสิทธิเพื่อเสรีภาพในการแสดงออก แต่ที่นี่เรามีสถาบันซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย” “เราจึงเห็นว่า ทำไมสถาบันกษัตริย์จึงต้องได้รับการปกป้อง”
นายเบนจามินซึ่งประจำอยู่ในกรุงเทพยอมรับว่า อย่างไรก็ดี กฎหมายนี้ได้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด “กฎหมายหมิ่นฯ ตามที่ถูกนำไปใช้ในสามปีให้หลังนี้ ได้ถูกใช้เพื่อจำกัดเสรีภาพในการพูด จุดประสงค์ส่วนใหญ่เพื่อทางการเมือง และไม่ได้ใช้เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ตามที่กฎหมายถูกร่างขี้นมา”
แม้ว่ากลุ่มเพื่อสิทธิของสื่อในภูมิภาคนี้ยอมรับว่า กฎหมายมีนิยามที่คลุมเคลือ นายโรบี อาลัมพาย ผู้อำนวยการพันธมิตรสื่อมวลชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPA) ประจำกรุงเทพกล่าวว่า “เราต้องรับทราบว่ากฎหมายหมิ่นฯ เป็นกฎหมายที่อ่อนไหวในประเทศไทย” “มีกลุ่มซึ่งมีความระมัดระวัง และมีกลุ่มซึ่งถูกคุกคามจากกฎหมายที่ทั้งขู่และบังคับ แม้กระทั่งผู้รณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนยังถูกคุกคามเหมือนกัน”
ต้องให้โอกาส SEAPA ซึ่งได้แสดงความกล้าหาญบ้างโดยการออกแถลงการณ์เพื่อไว้อาลัยในคดีหมิ่นฯ โดยพยายามที่จะปิดช่องว่างว่า “เราได้เคยพูดว่า โดยทั่วไปแล้วกฎหมายที่เกี่ยวกับการทำลายชื่อเสียงไม่ได้เป็นเรื่องอาญา แม้แต่กฎหมายหมิ่นฯ” นายโรบีกล่าวกับไอพีเอสว่า “นี่เป็นเรื่องที่เราเรียกร้องเสมอ”
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้นำกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ กระอักกระอ่วนที่จะเปิดโปงการนำกฎหมายหมิ่นฯไปใช้อย่างไร ในประเทศที่มีประชาธิปไตยอยู่ในขั้นกำลังพัฒนา เช่นประเทศไทย และกำลังตกเป็นเป้าวิจารณ์อย่างหนัก
นายธงชัย วินิจจะกูล อาจารย์ภาควิชาเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน ในอเมริกา กล่าวว่า “สำหรับความคิดของผมแล้ว กลุ่มสิทธิมนุษยนสากลต่างๆ รวมทั้ง องค์กรนิรโทษกรรมสากล และ องค์การป้องกันสิทธิมนุษยชน แทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ทำเหมือนเป็นเรื่องเล็ก ไม่สลักสำคัญ ทั้งไม่มีประสิทธิภาพ และทำอย่างขอไปที” “พวกเขาค่อนข้างเฉยเมยเกี่ยวกับเรื่องของกฎหมายหมิ่นฯในประเทศไทย สาเหตุหลักมาจากกฎระเบียบของพวกเขา”
ดร.ธงชัย เป็นคนไทยซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ได้ก่อตั้ง การรณรงค์สากลเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหมิ่นฯ ได้ให้สัมภาษณ์โดยกล่าวว่า “นี่เป็นอาชญากรรมทางมโนธรรม อาชญากรรมทางความคิด อาชญากรรมในการพูด” “ถ้าทั้งองค์กรนิรโทษกรรมสากล และองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนโลก ไม่มีจุดยืนในการป้องกันเหยื่อจากอาชญากรรมดังกล่าวแล้ว งั้นจุดยืนของพวกเขาคืออะไรล่ะ”
มีความน่าวิตกเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายหมิ่นฯถูกนำมาบีบบังคับใช้ในประเทศไทยเพิ่มมากขี้น เห็นได้จากยอดร้องเรียนกับตำรวจพุ่งสูงมากขี้น มีมากกว่า ๓๐ คดีที่อยู่ในระหว่างการสืบสวน ในจำนวนคดีทั้งหมดนั้น มีคดีของอดีตโฆษกรัฐบาลฝ่ายทักษิณ นักปรัชญาชาวพุทธที่เป็นที่เคารพ นักวิชาการฝ่ายซ้ายซึ่งหนีออกจากประเทศ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งปฎิเสธที่จะยืนตรงในระหว่างเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนต์
นอกจากนี้ เมื่อไม่นานมานี้กองบังคับการปราบปรามของตำรวจยอมรับกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศว่า รัฐมนตรีไอซีทีมีคำสั่งให้สืบสวนเว็บไซต์ประมาณ ๕,๐๐๐ เว็บที่อาจจะละเมิดกฎหมายหมิ่นฯ
ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการยุติธรรมได้เปิดเผยว่า ได้จับตามองเว็บไซต์มากกว่า ๑๐,๐๐๐ เว็บ ที่ความเห็นไปในทางที่เชื่อว่าจะดูหมิ่นราชวงศ์ เจ้าหน้าที่ได้รายงานต่ออีกว่า ได้จัดสรรงบประมาณกว่า ๔๒.๒ ล้านบาท เพื่อสร้างอินเตอร์เน็ตไฟร์วอลล์ ในการสะกัดกั้นเว็บไซต์ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านราชวงศ์
ภาษาที่เขียนในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ในฐานะของกษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดชแห่งราชอาณาจักรเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ.๒๕๕๐ บัญญัติไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้”
กษัตริย์พระชนมายุ ๘๑ พรรษา ได้ครองราชย์มานานกว่า ๖๐ ปี
นายเดวิด เสตรคฟัส ผู้เขียน “ราชวงศ์ไทยในสมัยปัจจุบัน กับวัฒนธรรมการเมือง” กล่าวว่า การเมืองลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมไทยเช่นนี้ อาจจะทำให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆมีท่าทีในการดำเนินมาตราการต่อกฎหมายหมิ่นฯเปลี่ยนไป “องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลหลายๆองค์กรดูเหมือนจะยอมรับในความไม่เหมือนใครของไทย และทำการยกเว้นให้ประเทศไทยในเรื่องของกฎหมายหมิ่นฯ”
ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกาเกี่ยวกับการเมืองไทยได้กล่าวกับไอพีเอสว่า “พวกเขาดูเหมือนจะตกหลุมรักเข้ากับวัฒนธรรมไทยบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถแตะต้องได้” “เป็นไปได้ที่ว่า นโยบายของพวกเขาที่ใช้กับประเทศไทยได้เริ่มมานานเกินกว่าทศวรรษ ในสมัยที่กฎหมายหมิ่นฯยังไม่ได้ถูกนำมาใช้จนเด่นชัดเหมือนในขณะนี้”
ที่นี่เรามีสถาบันซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย” “เราจึงเห็นว่า ทำไมสถาบันกษัตริย์จึงต้องได้รับการปกป้อง”
“องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลหลายๆองค์กรดูเหมือนจะยอมรับในความไม่เหมือนใครของไทย และทำการยกเว้นให้ประเทศไทยในเรื่องของกฎหมายหมิ่นฯ”
“พวกเขาดูเหมือนจะตกหลุมรักเข้ากับวัฒนธรรมไทยบางอย่าง ซึ่งไม่สามารถแตะต้องได้”
“นี่เป็นอาชญากรรมทางมโนธรรม อาชญากรรมทางความคิด อาชญากรรมในการพูด” “ถ้าทั้งองค์กรนิรโทษกรรมสากล และองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนโลก ไม่มีจุดยืนในการป้องกันเหยื่อจากอาชญากรรมดังกล่าวแล้ว งั้นจุดยืนของพวกเขาคืออะไรล่ะ
I like Red Siam
คงจุดยืนของพวกเขา (กลุ่มสิทธิมนุษยชน) คงไม่ต่างๆผจากพวก NGO ของไทยเท่าไหร่นัก!!! สิทธิมนุษยชนเพื่อลวง กลวงระดับโลก “พวกเขาดูเหมือนจะตกหลุมรักวัฒนธรรมไทยบางอย่าง” ดิฉันหวังว่าพวกเขา (กลวง ลวง) คงไม่ได้มาหลงรักกฏหมายหมิ่นนะ คนไทยขี้อาย เกรงใจ ยิ้มสวย มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัย นี้มั้งเสน่ห์ที่ว่า…. มีขึ้นมาเป็นหัวหลักตอ เราก็เลิกสนใจมันซะ สิ้นเรื่อง….. ก่อนจะเลิกสนใจต้องประจานก่อน..ก็เป็นความคิดที่ดี ไม่เลวร้ายซะเท่าไหร่…
จะเอาอะไรกะปรเทศเฮงซอยนี้ สื่อ ศาล ngo พวกหน้าด้าน ทั้งหลาย
ประเทศไทย แถวตรง ถอยหล้ง ลงคลอง