ข้ามไปยังเนื้อหา

ดิอิโคโนมิสต์: การสืบสันตติวงศ์ – พ่อทรงร่วงโรย ลูกๆต่างขับเคี่ยว

วันอาทิตย์ 21 มีนาคม 2010

Thailand’s succession: As father fades, his children fight
March 18, 2010
ที่มา – The Economist
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

เบื้องหลังความวุ่นวายของประเทศไทยในทุกวันนี้ คือความกลัวอันฝังหัวเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์ และบรรดาผู้คนเหล่านี้อาจจะไม่พูดออกมาให้ได้ยินกันทั่วไป


ทั้งรถบรรทุก ทั้งเรือ และรถโดยสารประจำทางที่หลั่งไหลเข้าสู่กรุงเทพอย่างไม่ขาดสาย เพื่อร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง และถูกเรียกว่าเป็น “สงครามประชาชนต่อต้านศักดินา” ในวันที่ ๑๔ มีนาคม ผู้ชุมนุมที่ผ่านจำนวนหลักแสนทั้งหมดสวมเสื้อสีแดงสด แต่ละคนยิ้มแย้มด้วยความปรีดา บนเวทีปราศรัยนักพูดแต่ละคนต่างโจมตีรัฐบาล ทั้งราชวงศ์และกองทัพที่แต่งตั้งรัฐบาลนี้ขึ้นมา ป้ายต่างๆอ่านได้ความว่า “ไม่มีความยุติธรรม ความสงบไม่เกิด” อีกยกหนึ่งที่บอบช้ำในการดิ้นรนเพื่ออำนาจอันยืดเยื้อของประเทศไทย ที่กำลังใกล้เข้ามาถึงซึ่งทางออกที่ยังคงมืดมน

จนกระทั่งถึงกลางอาทิตย์ ดูเหมือนเป้าหมายของเสื้อแดงในการขับไล่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ออกจากตำแหน่ง และบังคับให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้นยังไม่สัมฤทธิ์ผล กองทัพยังคงยืนกรานในการปกป้องอภิสิทธิ์ ซึ่งเข้ามามีอำนาจเมื่อ ๑๕ เดือนก่อนโดยใช้วิธีจัดการทางสภา และเป็นรัฐบาลในดวงใจของชนชั้นเศรษฐีใจแคบของกรุงเทพ เช่นเดียวกับผู้ประท้วงเสื้อเหลืองซึ่งสนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันนี้ สำหรับประชาธิปไตยซึ่งถือว่า หนึ่งคน ต่อหนึ่งเสียงนั้น ฝ่ายซึ่งขาดเสียงกลับกลายเป็นตัวกุมอำนาจ

อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมาจากการเลือกตั้งถึงสองครั้ง และขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการลี้ภัยเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ทักษิณไม่ยอมจากไปอย่างเงียบเชียบนับตั้งแต่การทำรัฐประหารของกองทัพที่ปล้นอำนาจของเขาในปี ๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ คำตัดสินของศาลในการยึดทรัพย์ ๔๖,๐๐๐ ล้านบาทของเขานั้น ยิ่งสร้างความโกรธแค้นให้ทักษิณเป็นทวีคูณ เสื้อแดงหลายคนมองทักษิณว่าคือผู้นำแท้จริงของประเทศ แม้เขาจะมีความมั่งคั่ง และมีชีวิตอย่างอภิสิทธิ์ชน ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา

นักการเมืองพรรครัฐบาลเหน็บแนมเสื้อแดงที่ต่ำต้อยว่ารับจ้างมา และไม่ได้เป็นตัวแทนความเห็นของคนส่วนใหญ่ นักการเมืองเหล่านี้ต่างบ่ายเบี่ยงต่อความคิดที่ว่า การเลือกตั้งอาจจะเป็นหนทางเดียวที่จะพิสูจน์ในประเด็นนี้ และแถว่าในช่วงวุ่นวายแบบนี้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่การเลือกตั้งจะเป็นไปอย่างมีระเบียบ ที่สำคัญที่สุด นักการเมืองพวกนี้ประณามทักษิณว่า เป็นตัวการของความไม่สงบ

แต่ยังมีบุคคลสำคัญอีกพระองค์หนึ่งซึ่งในแวดวงทางการเมืองที่จะต้องคำนึงถึง: กษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดช พระชนมายุ ๘๒ พรรษา ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก ในสถานที่ชุมนุมนั้น มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ซึ่งสายพระเนตรแสดงความเฉยเมยมายังกลุ่มคนเสื้อแดง สำหรับการเคลื่อนไหวของพวกคลั่งเจ้าในประเทศไทยนั้น กษัตริย์ถือว่าเป็นพระบิดาของแผ่นดิน และ “การต่อสู้ของบรรดาลูกๆ” บนท้องถนนนั้นถือว่า เป็นการสร้างความโทมนัสให้กับพระองค์ บางคนถึงกับหวาดผวาว่า ปัญหาของประเทศไทยอาจจะเป็นตัวขัดขวางการหายจากอาการประชวรด้วยโรคทางเดินหายใจ ซึ่งพระองค์ทรงเข้าประทับรักษาพระวรกายในโรงพยาบาลมาตั้งแต่เดือนกันยายน

นั่นเป็นเรื่องแน่นอน เพราะ “พ่อ” กำลังจะจากไป และ “ลูกๆ” ของพระองค์กำลังต่อสู้ห้ำหั่นกัน ทุกสมัยเมื่อสิ้นรัชกาลจะเป็นเวลาแห่งโศกนาฏกรรมของชาติ และการครุ่นคิดคำนึงอยู่กับตนเอง ชาวไทยรู้สึกประหวั่นพรันพรึงในเรื่องนี้ หลายคนซึ่งรู้จักแต่เพียงกษัตริย์ภูมิพล ที่ทรงเสด็จขี้นครองราชย์ในปี ๒๔๘๙ จากสถาบันที่กำลังจะหมดความสำคัญ เมื่อกองทัพเข้าครอบครองโดยยื่นประชาธิปไตยให้เพียงครึ่งใบ พระราชวังจึงต้องรับหน้าที่เป็นตัวแทนแห่งอำนาจอันเป็นที่เคารพ แต่ความเหมาะสมชอบธรรมนั้นขี้นอยู่กับพระอัจฉริยภาพของกษัตริย์ภูมิพล และข้าราชบริพารซึ่งชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ

ทางพระราชวังยืนยันว่า กษัตริย์ทรงสดชื่นและทรงแข็งแรง แต่คนไทยต่างวิตกกังวลในเรื่องความไม่แน่นอนแห่งการสืบสันตติวงศ์ ยิ่งโดยเฉพาะนักลงทุน ซึ่งหวาดวิตกหนักขึ้นไปอีกเพราะกฎหมายหมิ่นฯ ซึ่งห้ามมิให้มีการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ เมื่อบริษัทตัวแทนการสำรวจระดับยักษ์ใหญ่ของไทยทำการสำรวจความเห็นจากผู้จัดการกองทุนต่างๆ เกี่ยวกับปัจจัยความเสี่ยงทางการเมืองของปี ๒๕๕๓ ความเห็นร้อยละ ๔๒ เลือกข้อที่ตัวแทนตั้งว่า “การเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่สามารถระบุได้” ข่าวลือเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ภูมิพลเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ส่งผลให้เกิดการเทขายของกองทุนในระยะเวลาแค่สองวัน และรัฐบาลถึงกับหัวเสียไล่บี้หาตัวการปล่อยข่าวลืออย่างหนัก หากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ดูท่าว่าจะแซงหน้าเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้แน่

ประเทศไทยยังคงยืนหยัดต่อความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในระยะสีปี จำนวนผู้เสียชีวิตยังถือได้ว่าต่ำ แต่ความโกรธแค้นได้ระเบิดออกมาในเดือนเมษายนที่แล้ว เมื่อเสื้อแดงปะทะกับกองทัพในกรุงเทพ เป็นเวลาเพียงแค่พริบตาเดียวแต่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันบีบคั้นที่ถูกเก็บงำมาเนิ่นนาน กองทัพเองเริ่มแสดงให้เห็นถึงความแตกแยก แม้ว่าเรื่องที่น่ากลัวมากที่สุดคือ – สงครามกลางเมือง เป็นเรื่องที่ดูเว่อเกินไป จะมีเหตุผลดีกว่าหากกล่าวว่า ถ้าเป็นการเผชิญหน้าทางการเมือง และการเมืองที่เข้าขั้นอัมพาตในอีกหลายๆปีที่จะมาถึง

ราชบัลลังก์คงผ่านพ้นไปด้วยดี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ พระชนมายุ ๕๗ พรรษา ทรงเป็นพระโอรสองค์รัชทายาทที่จะสืบราชบัลลังก์ และไม่มีข้อสงสัยใดๆกับการอ้างในเรื่องนี้ การไว้ทุกข์ที่เนิ่นนาน อาจจะนานมากกว่าหกเดือน จะทำให้การต่อสู้ทางการเมืองถูกระงับลง ผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองบางคนอาจสำนึก และหาทางประนีประนอม การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ภูมิพลอาจเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยสำหรับประเทศไทย: อาจจะเริ่มได้ยินความคิดจากคนรุ่นใหม่

แต่กษัตริย์พระองค์นี้จะทรงรับภารกิจอันหนักอึ้งที่จะตามมา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเองโดยทั่วไปแล้วไม่ทรงเป็นที่ชื่นชม และทรงเป็นที่ยำเกรง คนไทยส่วนใหญ่พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องการขี้นครองราชย์ของพระองค์ นักวิชาการคนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อรัชกาลนี้สิ้นสุดลง ก็ไม่มีใครอีกแล้ว” ผู้ปกครองคนต่อมาจะต้องตามรอยพระบาทแห่งปูชนียบุคคลผู้เปี่ยมด้วยบารมี ซึ่งพระเกียรติคุณได้รับการยกย่องเปรียบดังลัทธิบูชา บทบาทขององค์รัชทายาทในยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ และตกเป็นเป้าสายตาของประชาชนนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายในทุกที่ สำหรับในประเทศไทยแทบจะไม่มีทางเอาเสียเลย นักการทูตอาวุโสคนหนึ่งตั้งคำถามว่า “คุณจะตามรอยเท้าผู้วิเศษได้อย่างไร”

ความกังขาต่อองค์ฟ้าชาย

เป็นปริศนาที่คุ้นเคยกันดี กษัตริย์วชิราวุธ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งทรงขี้นครองราชย์ในปี ๒๔๕๓ ทรงพบอุปสรรคกับการตามรอยพระบาทของพระราชบิดา กษัตริย์จุฬาลงกรณ์ ผู้ทรงคล่องแคล่วนำสมัย อันเนื่องมาจาก ธงชัย วินิจกุล ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัยวิสคอนซินแห่งสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่า แม้ก่อนเสด็จขี้นครองราชย์ พระองค์ทรงได้รับความเสื่อมเสียจากการซุบซิบที่ออกมาจากพระราชวังกล่าวหาว่า พระองค์ทรงมีความประพฤติที่ไม่งาม กษัตริย์วชิราวุธทรงเป็น “นักกวี และนักประพันธ์อันเอกอุ” แต่ทรงไม่ประสบความสำเร็จในฐานะกษัตริย์ซึ่งทรงถูกบดบังบารมีจากความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์องค์ก่อน ธงชัยกล่าวในการสัมมนาที่เปิดกว้างให้ประชาชนได้รับฟังเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ราชวงศ์ต่างทำลายกันเอง”

กษัตริย์ประชาธิปก รัชกาลที่ ๗ ทรงยิ่งแย่หนักขึ้น การทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อในปี ๒๔๗๕ ยุติการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และระบอบกษัตริย์เกือบจะหมดความหมาย กษัตริย์ประชาธิปกทรงลี้ภัยไปประทับที่ลอนดอน และทรงสละราชสมบัติในปี ๒๔๗๘ สร้างความเคว้งคว้างอย่างหนัก พระองค์ทรงมอบราชสมบัติให้รัชกาลที่ ๘ พระเชษฐาในกษัตริย์ภูมิพล ซึ่งทรงสิ้นพระชนม์ในปี ๒๔๘๙ ด้วยการถูกยิงที่พระเศียรอย่างมีเงื่อนงำ กษัตริย์ภูมิพลทรงขี้นครองราชย์ต่อมาในวันเดียวกันนั้นเอง และทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับสวิสเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาให้สำเร็จ

ในปี ๒๔๖๙ กษัตริย์ประชาธิปกทรงมีพระราชนิพนธ์อย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับจุดอ่อนของการปกครองแห่งกษัตริย์ ในพระราชบันทึก พระองค์ทรงต่อสู้กับความขัดแย้งระหว่างสังคมที่เดินหน้า และกฎแห่งการสืบทอดราชาธิปไตย ซึ่งประเทศไทยในเวลานี้ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในสภาพความขัดแย้งเช่นนี้ การปกครองของกษัตริย์เป็นหนึ่ง “ในอุปสรรคสำคัญ” เป็นความเห็นของสาธารณะชนที่ต่อต้านการปกครองแบบเผด็จการ ทรงวิตกว่าใครที่จะขี้นครองราชย์องค์ต่อไป พระองค์ทรงบันทึกว่า “จะต้องมีหลักประกันทางอื่นเพื่อคานกับกษัตริย์ที่ด้อยความสามารถ”

เวลาผ่านไปเกือบศตวรรษ หลักประกันนั้นยังไม่ปรากฏ และคนไทยต้องเผชิญกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชในอนาคตข้างหน้า ทรงเป็นทหารอาชีพ และทรงเป็นนักบินเครื่องบินรบ ซึ่งทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจหลายอย่างแทนพระราชบิดา ในหลายปีมานี้ พระองค์ทรงว่างเว้นจากพระราชกรณียกิจเนื่องจากทรงเสด็จประทับทางยุโรป ขณะนี้พระองค์ทรงพระราชดำเนินกลับประเทศไทย และทรงออกสู่สายตาประชาชน ซึ่งเป็นสัญญาณที่กึกก้องและชัดเจน สองอาทิตย์หลังจากพระบรมราโชวาทในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์ภูมิพล บางกอกโพสต์ลงพระราชประวัติของพระองค์อย่างยกย่องภายใต้หัวข้อว่า: “กษัตริย์ที่ทรงรอคอย”

สำหรับคนไทยซึ่งคุ้นเคยกับคุณธรรมของกษัตริย์ภูมิพล ซึ่งรวมถึงการทรงมีพระมเหสีพระองค์เดียว ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และทรงสมถะ สมเด็จพระบรมฯทรงเปรียบเทียบมิได้ เรื่องราวอุจาดของชีวิตส่วนพระองค์กลายเป็นเรื่องซุบซิบประจำวัน วิดีโอที่ออกแพร่หลายในปี ๒๕๕๐ แสดงให้เห็นถึงพระชายาองค์ที่สาม หรือเรียกกันว่า “อัครชายา” ทรงชุดเปลื้องพระองค์ในงานฉลองพระกายาหารค่ำอย่างเป็นทางการกับสมเด็จพระบรมฯ นักการทูตกล่าวว่าสมเด็จพระบรมฯ ทรงมีความแหวกแนวจนถึงขั้นพิสดาร: ตัวอย่างเช่น การฉลองอย่างหรูหราให้กับสุนัขส่วนพระองค์ “ฟูฟู” ซึ่งมียศทางทหาร และในหลายโอกาสที่นั่งร่วมกับบรรดาแขกรับเชิญในงานเลี้ยงฉลองพระกายาหารค่ำ ในช่วงปี ๒๕๒๓ มีข่าวลือว่า ทรงเกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมใต้ดิน ซึ่งพระองค์ทรงประทานสัมภาษณ์ให้การปฏิเสธ สร้างแรงดลใจให้เกิดพระนามเล่นว่า “เสี่ยโอ”

ในทางตรงข้าม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธรพระขนิษฐา ทรงมีภาพลักษณ์ประดุจเทพซึ่งทรงภารกิจด้านการกุศล คนไทยหลายคนหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้ายโดยการสถาปนาพระองค์ให้ทรงขี้นครองราชย์ นายทหารบางคน และหลายกลุ่มในพระราชวังต่างกล่าวว่า ต้องการให้เจ้าฟ้าหญิงขี้นครองราชย์เป็นองค์ต่อไป ทางเลือกอีกทางหนึ่ง ซึ่งได้ยินมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้คือ การมอบบัลลังก์ให้กับพระโอรสและธิดาในสมเด็จพระบรมฯ เช่นพระโอรสองค์สุดท้อง พระองค์เจ้าทีปังกร และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอาจจะเป็นเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร คลิปที่ถูกปล่อยออกมานั้นคาดว่า จะเป็นการลดความน่าเชื่อถือของเจ้าฟ้าชาย และเพื่อหาทางเลือกอื่น ทั้งนี้ทั้งนั้น กษัตริย์ภูมิพลดูเหมือนจะทรงตัดสินพระทัยไว้แล้วว่า ผู้ที่จะขี้นครองราชย์องค์ต่อไปคือ สมเด็จพระบรมฯ

พอล แฮนด์เล่ย์ ผู้แต่งหนังสือพระราชประวัติที่ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต หนังสือของเขาถูกห้ามจำหน่ายในประเทศไทย เขาคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่กษัตริย์ภูมิพลจะทรงตัดสินพระทัยในระหว่างทรงรักษาพระองค์ ในการที่จะยกเลิกสิทธิ์ในสมเด็จพระบรมฯ เพราะต้องออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การเสด็จแปรที่ประทับใช้ชีวิตในยุโรปนั่นค่อนข้างจะเหมาะกว่าสำหรับเจ้าฟ้าชาย ผู้ซึ่งอาจไม่ประสงค์ราชทรัพย์ หรือความสนใจ แต่สิ่งที่คาดหมายว่าจะเกิดขี้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากพระองค์ทรงถูกตัดสิทธิ์จากองค์รัชทายาท คือการนองเลือด นี่จึงเป็นการอธิบายว่า ทำไมทหารรักษาพระองค์จึงไม่อนุญาตให้พกอาวุธต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์

เหตุผลหนึ่งซึ่งทำไมวงการกองทัพจึงไม่ไว้วางใจในสมเด็จพระบรมฯ เพราะในอดีตพระองค์ทรงเคยเกี่ยวข้องกับทักษิณ ซึ่งถูกทหารทำรัฐประหารปล้นอำนาจในปี ๒๕๔๙ ทักษิณมหาเศรษฐีด้านโทรคมนาคม ผู้หันชีวิตมาเป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยม เคยกล่าวว่าได้เคยปรนเปรอพระองค์ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงในการทำรัฐประหาร ซึ่งดูเหมือนจะได้รับการสรรเสริญจาก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและมีหน้าที่ให้คำปรึกษาต่อองค์กษัตริย์ ความจริงที่ว่า แม้ทักษิณจะลี้ภัยอยู่ที่ประเทศดูไบ แต่ยังคงติดต่อกับเจ้าฟ้าชาย ซึ่งสร้างปัญหาอย่างหนักให้กับพวกคลั่งเจ้ากลุ่มเดิม ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ของอังกฤษเมื่อไม่นานมานี้ อดีตนายกรัฐมนตรีได้เทิดทูนสมเด็จพระบรมฯ อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ไม่มีใครทราบได้ว่าสมเด็จพระบรมฯ จะทรงเป็นนักปกครองแบบใด สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักสังเกตการณ์ผู้ช่ำชองเกี่ยวกับราชวงศ์ และนักเคลื่อนไหวทางสังคม กล่าวว่า พระองค์ทรงมีวุฒิภาวะมากขึ้นในระหว่างการอภิเษกสมรสครั้งที่สาม และทรงเป็นที่เคารพมากขี้นกว่าในอดีต คนอื่นกล่าวว่า พระองค์ทรงเบื่อหน่ายกับงานพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ซึ่งทรงพระเกษมสำราญในการปฏิบัติภารกิจ ผู้สังเกตการณ์ราชวงศ์กล่าวว่า เหนืออื่นใด พระองค์ทรงต้องมีข้าราชบริพารที่มีความสามารถ ที่จะนำทางพระองค์ผ่านหนทางที่เต็มไปด้วยหลุมพรางทางการเมืองที่อยู่ข้างหน้า หลายคนเชื่อว่า สมเด็จพระบรมฯจะทรงแต่งตั้งองคมนตรีของพระองค์เองแทนคนเก่า สำหรับข้าราชบริพารรุ่นเก่าที่รับใช้กษัตริย์ และไม่ไว้ใจในการสืบบัลลังก์ของพระองค์ คงจะถูกเชิญให้ลาออก นักวิชาการต่างประเทศคนหนึ่งกล่าวว่า ข้าราชบริพารชุดใหม่ของพระองค์ “เป็นที่แน่นอนว่า จะไม่มีความสามารถ” เทียบเท่ากับชุดปัจจุบัน

ทรงพลัง แต่ขาดความสุขุม

การชิมลางในเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ พยายามที่จะสลับขั้วอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บุคคลซึ่งอภิสิทธิ์เลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้นถูกขัดขวางจากสมาชิกในพรรคเดียวกัน รวมถึง นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ผู้ช่วยสมเด็จพระบรมฯ ซึ่งวิ่งเต้นเสนอชื่อบุคคลอื่น มีรายงานข่าวว่า ผู้อยู่เบื้องหลัง “ที่มีอำนาจ และทรงพลัง” ได้ผลักดันให้มีการแต่งตั้งตัวเลือกอันดับสอง คืออดีต ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติสมัยรัฐบาลทักษิณขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ต่อมานิพนธ์ลาออกจากคณะรัฐบาล อภิสิทธิ์ยังไม่สามารถแต่งตั้ง ผบ.ตร. ได้ ตำแหน่งปัจจุบันนี้เป็นเพียงแค่รักษาการณ์แทน ความขัดแย้งนี้เปิดเผยให้เห็นว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงแทรกแซงอย่างขาดความรัดกุมเพียงใด แหล่งข่าวจากพระราชวังกล่าวว่า เรื่องนี้สร้างความหัวฟัดหัวเหวี่ยงให้กับบรรดาข้าราชบริพารในกษัตริย์ภูมิพล แหล่งข่าวกล่าวว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงได้รับการแจ้งว่า “เราไม่ทำเรื่องแบบนี้”

แท้จริงแล้ว พระราชวังได้อุปถัมภ์ค้ำชูกองทัพ และข้าราชการมาเป็นเวลาเนิ่นนาน นี่คือวิธีการกุมอำนาจในประเทศไทย อะไรที่ทำให้ทักษิณต้องเป็นตัวคุกคามของพระราชวัง ก็เพราะความหมายมั่นของทักษิณที่จะกุมอำนาจนี้ไว้เช่นกัน ต่อมานักการทูตเอเชียระดับสูงกล่าวว่า สมเด็จพระบรมฯ มีพระประสงค์ที่จะเข้าแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี เพื่อขยายฐานสนับสนุนของพระองค์ ยิ่งพระองค์ทรงประสบความสำเร็จมากเท่าไร จะเป็นตัวกำหนดได้ว่าพระองค์จะทรงอำนาจได้นานแค่ไหน โอกาสอีกอย่างหนึ่งคือ การพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ เพื่อที่ทักษิณจะได้เดินทางกลับมาบริหารประเทศในกษัตริย์พระองค์ใหม่ ซึ่งจะสร้างความปรีดาให้กับคนเสื้อแดง แต่จะสร้างความขวัญหนีดีฝ่อให้กับศักดินาในกรุงเทพ และสร้างความแตกแยกในกองทัพ สำหรับเสียงสนับสนุนจากสาธารณะชนนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่น่าเป็นไปได้ ผู้ใกล้ชิดทางการเมืองคนหนึ่งกล่าวว่า สมเด็จพระบรมฯ ทรงทราบว่าพระองค์ทรงไม่ได้รับความชื่นชม แต่ “พระองค์ทรงไม่สนใจ”

ทางออกอีกทางหนึ่งสำหรับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ คือการลดขนาดของระบอบกษัตริย์ให้ลดลงเท่ากับเมื่อในอดีต การปรับปรุงสถาบันตั้งแต่ระดับสูงลงมาย่อมน่าพิสมัยมากกว่า การถูกผลักดันจากระดับล่างด้วยเสียงเรียกร้องให้มีการตั้งเป็นสาธารณรัฐ ตลาดหุ้นในรัชสมัยกษัตริย์ภูมิพลได้ตกฮวบมาตั้งแต่ตอนที่ราคาสูงสุดในเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ เมื่อพระองค์ทรงสามารถจะออกคำสั่งให้เผด็จการทหารยุติการกระทำ และระงับเสีย ในไม่กี่ปีมานี้ ได้เปิดเผยให้เห็นอำนาจอันมีจำกัดของพระองค์ ในปี ๒๕๕๑ กษัตริย์ไม่ทรงสามารถยุติการกระทำของฝ่ายพันธมิตรในการก่อความวุ่นวายในนามของพระองค์ ข้าราชบริพารระดับสูง ถอนหายใจและกล่าวว่า “พวกเราคาดหวังจากพระองค์มากเกินไป”

เป็นที่แน่ชัดว่า ประเทศไทยต้องการความสมดุลใหม่ บางคนกลัวว่า เมื่อสุญญากาศแห่งอำนาจที่ถูกระบอบกษัตริย์อันอ่อนกำลังได้ละทิ้งไป จะถูกกองทัพเข้ามายึดแทน ซึ่งเป็นอำนาจชักใยเบื้องหลังของความสวยหรูที่ฉาบทองของพระราชวังอยู่แล้ว แต่นายพลทั้งหลายซึ่งยึดอำนาจด้วยการทำรัฐประหารปี ๒๕๔๙ นั้นบริหารประเทศอย่างไร้ฝีมือ และจำต้องคืนอำนาจให้กับประชาชนผู้ลงคะแนนเสียงในอีก ๑๕ เดือนต่อมา ตระกูลนักธุรกิจทั้งหลายไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และต้องการให้นักการเมือง และมืออาชีพบริหารประเทศแทน ส.ส.หลายคนที่ถูกห้ามเล่นการเมือง ซึ่งบางคนหวังว่าจะได้เข้าเป็นพรรคเสียงข้างมาก จะได้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองอีกในปี ๒๕๕๕ แต่กติกาการเล่นจะต้องได้รับการเปลี่ยนใหม่

บางคนอาจแย้งว่า กษัตริย์ภูมิพลทรงมีส่วนรับผิดชอบกับการวางรากฐานของสถาบันประชาธิปไตยต่างๆ ที่ล้มเหลวในประเทศไทย แฮนด์เล่ย์กล่าวว่า แค่ขี้นอยู่กับ “คนเก่งเพียงไม่กี่คน” และกองทัพที่นำพาประเทศเข้ารกเข้าพงแบบนี้

เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับราชวงศ์ ครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยเป็นแนวหน้าแห่งเสรีภาพในภูมิภาคซึ่งค่อนข้างถูกบีบคั้น การเมืองอย่างกระท่อนกระแท่นไม่ได้เป็นตัวการทำให้การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหยุดยั้งลง เหมือนกับการที่ข้าราชการต่างๆ กุมบังเหียนแน่นในการบริหารประเทศแบบเช้าชามเย็นชามเช่นนี้ ในยุคปี ๒๕๓๓ (ค.ศ.๑๙๙๐) กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนทางตะวันตกหวังว่า ประชาสังคมไทยที่มีพลวัต (Dynamism) สูงอาจจะขยายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ แต่กลับกลายเป็นว่า ขณะนี้บางคนมองประเทศไทยว่า เป็นอุทาหรณ์ให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตยแบบสุกเอาเผากิน

นั่นอาจจะเป็นการกล่าวที่รุนแรงเกินไป กลุ่มเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อเหลืองที่เป็นอริกันในประเทศไทยนั้นแม้มีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องประชาธิปไตย แต่ทั้งสองฝ่ายต้องการระบบการเมืองที่มีความยุติธรรม ปีที่แล้วเพื่อที่จะวัดเรื่องความอดทน มูลนิธิเอเชียซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในแคลิฟอร์เนียได้ออกสำรวจความเห็นของคนไทยในเรื่องนี้ และผลสำรวจพบว่าร้อยละ ๗๙ ยอมให้พรรคการเมืองต่างๆซึ่งไม่ได้รับความนิยมเข้าเยี่ยมพื้นที่ตัวเองได้ เพียงร้อยละ ๖ เท่านั้นที่กล่าวว่า พวกเขาจะเลิกคบเพื่อนซึ่งเข้าร่วมพรรคฝ่ายตรงข้ามกับตัว นับว่าเป็นตัวเลขที่น่าชื่นชมมากกว่าอีกหลายประเทศที่เป็นประชาธิปไตยของเอเชีย เกือบจะทุกคนต่างเห็นด้วยว่า รัฐบาลประชาธิปไตยเป็นรูปแบบที่ดีที่สุด แม้ว่าร้อยละ ๓๐ จะยอมรับการปกครองแบบเผด็จการในบางสถานการณ์

ประเทศไทยยังไม่ยอมแพ้ในเรื่องประชาธิปไตย แต่การสะสางปัญหาที่สะสมทางการเมืองนั้นจะต้องรวมไปถึงการกล่าวถึงกษัตริย์ แน่นอน สำหรับความเชื่อของคนไทย การพูดเรื่องการสิ้นรัชกาลของกษัตริย์ภูมิพล ถือว่าเป็นเรื่องเลวทราม – และเป็นเรื่องอัปมงคล แต่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นการเสี่ยงมากเกินไป ความเคารพยำเกรง และความหวาดกลัวเป็นตัวปิดตายต่อการแสดงความคิดเห็น ใครก็ตามหากเปิดปากในเรื่องนี้จะเสี่ยงต่อการถูกจับตามกฎหมายหมิ่นฯ หรือกฎหมายคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งออกใหม่และมีความเหี้ยมพอกัน ประชาชนหลายคนได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาทำให้กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียง รวมไปถึงชาวออสเตรเลียซึ่งถูกจำคุก (ต่อมาได้รับอิสรภาพด้วยการรับพระราชทานอภัยโทษ) จากนวนิยายที่เขาแต่งขึ้นมา มีเนื้อหาบรรยายถึงองค์รัชทายาทในทางเสื่อมเสีย

เบื้องหลังประตูที่ปิดตายนั้น มีการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ถึงอนาคตของสถาบันกษัตริย์เมื่อสิ้นรัชกาล จากคำพยากรณ์ในอดีตที่ว่า ราชวงศ์จักรีจะสิ้นสุดเพียงรัชกาลที่ ๙ กษัตริย์ภูมิพลทรงเป็นพระรามาที่ ๙ มีเสียงเล็ดรอดออกมาในเรื่องเป็นสาธารณรัฐ – ซึ่งสื่อเลือกข้างในประเทศไทยไม่เคยรายงานในเรื่องนี้ บางกอกโพสต์โจมตีด้วยสำนวนแบบเดิมที่มีทั้งความภาคภูมิใจ และการข่มขู่ในคำสดุดีเฉลิมพระเกียรติพระพรชัยมงคลในวันคล้ายวันประสูติของกษัตริย์ในเดือนธันวาคมว่า: “ความรักของชาวไทยที่มีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นช่างฝังแน่นในจิตใจของคนทั้งชาติ เจตนารมณ์อย่างอื่นนั้นให้เลิกคิดไปได้”

ในวงในของพระราชวัง เริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเริ่มต้นขึ้น พวกคลั่งเจ้าระดับอาวุโสทราบดีว่า พระบุคลิกภาพ และพระบารมีไม่สามารถถ่ายทอดไปยังรัชทายาทได้ง่ายๆ นี่คือประเด็นสำคัญที่ถึงทางตันของราชวงศ์แห่งประเทศไทย สุลักษณ์กล่าวว่า และกษัตริย์ภูมิพลทรงทราบในเรื่องนี้ สุลักษณ์กล่าวไว้ว่า กษัตริย์ “ทรงปรารถนาที่จะเห็นรัชสมัยหน้า จะไม่มีการนองเลือด”

สุดท้ายนี้ อันเนื่องมาจากสุลักษณ์ที่ว่า เมื่อไม่นานมานี้กษัตริย์ภูมิพลทรงเชิญนักการทูตที่ทรงไว้พระทัยสามคนให้ร่วมเสนอความคิดที่จะปรับปรุงสถาบัน นักการทูตคนหนึ่งได้ขอคำแนะนำจากสุลักษณ์ โดยอธิบายว่า การวินิจฉัยนั้นจะเสนอแด่องค์กษัตริย์เท่านั้น สุลักษณ์ตอบว่า พระราชวังจะต้องโปร่งใสในด้านการเงิน รวมถึงพระราชทรัพย์ประมาณ ๑,๒๐๐,๐๐๐ ล้านบาท (หนึ่งล้านสองแสนล้านบาท) ซึ่งบริหารโดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระองค์ แยกพระองค์จากกองทัพ และเปิดรับการวิจารณ์ของสาธารณะ สุลักษณ์แย้งว่า การเป็นประมุขเพียงแค่ในนามอย่างทางยุโรป จะช่วยให้กษัตริย์องค์ต่อไปในอนาคตคงดำรงอยู่ได้

เก็บรักษาต้นไม้

สุลักษณ์ถูกกล่าวหาว่า หมิ่นฯ เสมอ เขายืนยันว่าเขาเป็นผู้นิยมระบอบราชาธิปไตยอยู่เต็มสายเลือด เขากล่าวว่า “การจะโค่นต้นไม้นั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ผมคิดว่า จะเป็นการดีกว่าถ้าจะเก็บรักษาไว้” การเลือกก้าวเดินดังกล่าวอาจจะช่วยราชวงศ์จักรีไว้ได้ แต่การทบทวนแบบวิธีสุดโต่งนี้ ดูจะเป็นไปได้ยาก การยอมให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีผู้ปกครองที่ขาดความมั่นคงนั้น อาจจะทำให้เกิดการขยายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ในรัชสมัยกษัตริย์ภูมิพล การปิดปากฝ่ายตรงข้ามเป็นดาบสองคม หลายคนยอมอดทนแต่ขาดซึ่งความเคารพ สมเด็จพระบรมฯ ทรงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะพบปัญหานี้เช่นกัน

เมื่อหมดสิ้นระบอบกษัตริย์แล้ว จะมีสภาพอย่างไร ประเทศไทยอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ ในสเปน งบประมาณสำหรับพระราชวังต่อปีนั้นเป็นจำนวน ๔๒๐ ล้านบาท และถูกตรวจสอบโดยรัฐบาล นอร์เวย์ใส่บัญชีของราชวงศ์ทางเว็บไซต์ ไม่มีทางที่จะค้นหาว่าค่าใช้จ่ายของราชวงศ์อย่างเริดหรูนั้นจะเป็นจำนวนเท่าไร ญี่ปุ่นอาจจะเป็นแบบที่เหมาะกว่า ซึ่งสื่อแห่งชาติให้ความเคารพโดยการไม่แตะต้อง

ผลแห่งความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อการเข้ายึดครองของสหรัฐฯได้จำกัดอำนาจของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชวังแห่งราชวงศ์อื่นๆ ก็ถูกสภาลดขนาดลงเช่นกัน และได้เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี ๒๔๗๕ แต่ต่อมากษัตริย์ภูมิพลได้ทรงเปลี่ยนกลับไปใช้แบบเก่า เป็นที่แน่นอนว่า จะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางข้อ เพื่อลดบทบาทแห่งความมีอำนาจสูงสุดของประเทศ อำนาจในประเทศไทยเป็นเครือข่ายแบบอุปถัมภ์ซึ่งเริ่มต้นที่กษัตริย์ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมบรรดารัฐมนตรีผู้มาจากการเลือกตั้งทั้งหลาย จึงสนใจแต่ตำแหน่งของตัวเอง และคอยเหลือบมองสัญญาณจากพระราชวัง นักการทูตอาวุโสชาวตะวันตกคนหนึ่งกล่าวว่า อภิสิทธิ์เอาแต่ร่วมงานตัดริบบิ้นต่างๆของราชวงศ์ จนสุดที่จะคิดว่า อภิสิทธิ์จะหาเวลาที่ไหนมาบริหารประเทศ

การเซ็นเซอร์ในเรื่องราชวงศ์ทำให้การถกเถียงต้องมีการปิดบัง เป็นเรื่องที่น่าสมเพช พระราชดำรัสที่มีชื่อเสียงของกษัตริย์ภูมิพลเมื่อปี ๒๕๔๘ ที่ว่า พระองค์ไม่ได้อยู่เหนือการวิจารณ์ แต่ไม่มีใครกล้าพร้อมจะทดสอบในเรื่องนี้ แม้ว่าอินเตอร์เน็ตจะระดมด้วยความเห็นต่างๆ แต่ข้อห้ามนั้น ยังคงถูกยืนยัน และเนื่องจากประเทศนี้ไม่เคยเปิดโอกาสให้มีการพูดอย่างอิสระ ประชาชนจึงไม่มีโอกาสเตรียมตัวเพื่อรับมือกับหนทางอันขรุขระ ซึ่งทอดยาวอยู่ข้างหน้า

133 ความเห็น leave one →
  1. วันศุกร์ 27 เมษายน 2012 18:28 น.

    เกิดมาก็มากปี แต่ยังไม่เห็นเสือเฒ่ามันทำอะไร ให้ปชช นอกจากที่เป็นล่ำเป็นสันมีรายได้เป็นกอบกำก็ไอ้แจกปริญญาน่ะแหละนอกนั้นเป็นสมองทีมงาน เมียมันไม่ใช่คนเดียว ก็มันสั่งนางงามให้เข้าไปหาจนเมียหึงต้องวางแผนโล๊ะไปให้น้องชายแล้วยังน้องเมียอีกล่ะลูกเกิดมาก็ไม่ยอมรับแต่มันก็สามารถปิดหูปิดตาควายได้แหละ

  2. วันพฤหัสบดี 3 พฤษภาคม 2012 16:12 น.

    การเมืองไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ แต่เป็นเรื่องน่าติดตาม ติดตามดูพฤติกรรมนักการเมืองถ้าใครไม่ดีต่อไปไม่ต้องเลือก นี่คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย ได้รู้ได้เห็นการกระทำของคนที่เราเลือกเข้าไป แต่ไอ้พวกเผด็จการทหารทำรัฐประหารปกครองประเทศ รวยกันไปเท่าไร โกงกันไปเท่าไรมีคนคอยตรวจสอบมั๊ยแล้วก็มาสร้างภาพ โฆษณาตัวเองว่ามีคุณธรรมกล่าวหาฝ่าย ปชตโกง

  3. วันศุกร์ 4 พฤษภาคม 2012 18:10 น.

    น่าสงสารที่มันเป็นคนที่มืดบอด ใครพูดเรื่องพ่อมันจะตายมันโกรธ สงสัยมันไม่ให้ตายจะอยู่ค้ำฟ้าว้อย สตั๊ฟไว้ซิ ขอบอกว่าทุกคนต้องตายๆๆๆๆๆๆ อายุมันเหลือไม่เท่าเก่าแล้ว

  4. วันอังคาร 22 พฤษภาคม 2012 19:25 น.

    มันมีกระบวนการทำให้เสื้อแดงแตกกับเพื่อไทย แตกกับทักษิณไม่เชื่อหลอกทักษิณจะทิ้งเสื้อแดง ถ้าเสื้อแดงไปรับเงินฝ่ายตรงข้าแล้วทรยศทักษิณก็พอจะเป็นไปได้ แต่คงมีไม่กี่ตัว เราหนักแน่นพอไม่หลงคารมศัตรู เรารู้ว่าทักษิณ ยิ่งลักษณ์ อยู่ในฐานะอึดอัดแค่ใหน ทำอะไรก็ไม่ได้มากเพราะอำนาจเผด็จการมันฝังลึกอยู่หกสิบกว่าปี พวกเราต้องช่วยกันทำให้อำนาจมันหมดไป หรือต้องรอให้มันตาย

  5. วันจันทร์ 18 มิถุนายน 2012 09:12 น.

    ตายยากเพราะ
    นายบอดไช้เด็กก่อนเกิดหลายพัน โอสาละเลวบินไปเปลี่ยนเลือดครั้งละหลายร้อยล้าน
    เงินไครฟะ รวยแต่ไม่เคยไช้เงินตัวเอง

  6. อะไรของคุณ permalink
    วันจันทร์ 23 กรกฎาคม 2012 07:15 น.

    ^
    ^
    เบื้องลึกของจิตใจลึกของคนไม่ชอบระบอบมหากษัตริย์ ไม่ใช่เรื่องการตรวจสอบว่าเงินมากจากไหน แต่เป็นเรื่อง เป็นใครทำไมถึงสบายอย่างนี้ ใช่มั้ย!?

    คนไทยนะชอบวิจารณ์ ชอบคิด แต่ไม่ชอบทำ
    ให้มองคนเหมือนกับน้ำละกัน ไม่มีทางหรอกที่จะสะอาด 100% แม้กระทั้งกษัตริย์เช่นกัน

    ดูความดีที่ในหลวงทำสิ มีมากแค่ไหน คุณทั้งหลายที่มีความอึดอั้นตันใจ ได้ทำประโยชน์ให้ส่วนรวมบ้างหรือเปล่าหรือแค่คิดน้อยใจในวาสนาตัวโดยอ้างระบบประชาธิปไตยมาเป็นโล่เบือนบังหน้า

  7. วันศุกร์ 14 กันยายน 2012 08:43 น.

    ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ

  8. falkpress permalink
    วันจันทร์ 17 กันยายน 2012 09:56 น.

    ปัจจุบันรัฐบาลเน้นสามัคคีรักใคร่ปองดอง..คุณเห็นด้วยไหมครับ

  9. วันอังคาร 18 กันยายน 2012 05:23 น.

    ปรองดองบนกองศพของประชาชน วันนี้คนสั่งฆ่าติดคุกแล้วหรือ ที่คิดจะมาปรองดอง

  10. เสี่ยวหมัดสั่ง permalink
    วันอังคาร 18 กันยายน 2012 12:37 น.

    วันนี้คุณธาริตดูสดชื่นพูดจาฉะฉานแตกต่างกับสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ อธิบายได้ว่าการกระทำในสิ่งที่ถูกนั้น
    ย่อมทำให้ผู้กระทำเกิดความมั่นใจ สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์คุณธาริตถูกกดดันจากฝ่ายการเมืองให้กระทำสิ่งผิดให้กลายเป็นถูก คุณธาริตจึงกระทำไปอย่างไม่มั่นใจไร้หลักการเพราะฝืนความรู้สึกตัวเองและสังคม เพราะถูกบังคับให้กระทำ สำหรับคุณคณิตหนึ่งใน คอป.ได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อนั้น เท่ากับประจานตัวเองว่า “เลือกข้าง”ชัดเจน ตัวเองอาจจะฉลาดแต่ยังไม่รู้จักตัวเองดี การแสดงความคิดเห็นใดๆเกี่ยวกับความขัดแย้งที่มีผู้ขัดแย้งตั้งแต่สองฝ่ายควรระมัดระวังอย่างยิ่ง การที่คุณคณิตพูดผ่านสื่อออกมาอย่างนั้นย่อมแสดงถึงความอ่อนด้อยแห่งวุฒิภาวะ

  11. วันอังคาร 18 กันยายน 2012 13:34 น.

    ลูกชายเลวๆ ลูกทอมจอมโหด อีนางแม่จอมบงการ อีตุ๊ดแก่จอมลวงโลก ไอ้พวกทหารกะหรี่อยากเป็นใหญ่ มันฆ่ากันเละเทะแน่ ทั้งอำนาจและสมบัติของพ่อมันเยอะโคตร เพราะดันรวยไม่พอเพียง เหอะ เหอะ ขอเชียร์เลยนะ รีบฆ่ากันแย่งสมบัติแย่งอำนาจกันซะ ประชาชนอย่างพวกกรูคอยกระทืบซ้ำอยู่

  12. falkpress permalink
    วันจันทร์ 24 กันยายน 2012 09:11 น.

    ทุกสถานที่ย่อมมีการแข่งขัน..ท่านผู้เจริญย่อมรู้/เข้าใจความเป็นสัจจธรรม

  13. เรารักษ์ในหลวง 292 permalink
    วันอังคาร 25 ธันวาคม 2012 14:16 น.

    ๐เทิดภูมินทระภูมิพลบรมะไท
    โดยเดชะเกริกไกร สยาม

    ๐เอกองค์ทรงทศพิศะราชะคติงาม
    หล้าล้วนระบือนาม พระเกียรติ์

    ๐ทั้งทรงเสียสละดำริกิจอุทิศเชียร
    บำเพ็ญมิเว้นเพียร พระองค์

  14. R29 permalink
    วันศุกร์ 24 มกราคม 2014 10:25 น.

    แม้นพ่อไม่เอ่ยวาจาคำว่ารัก
    ลูกประจักษ์ความในฤทัยพ่อ
    ลูกก้าวผิดพลาดท่าไม่ด่าทอ
    เพียงคำขอให้ลูกเดินถูกทาง

  15. R29 permalink
    วันพฤหัสบดี 6 กุมภาพันธ์ 2014 09:25 น.

    ๐เทิดภูมินทระภูมิพลบรมะไท
    โดยเดชะเกริกไกร สยาม
    ๐เอกองค์ทรงทศพิศะราชะคติงาม
    หล้าล้วนระบือนาม พระเกียรติ์
    ๐ทั้งทรงเสียสละดำริกิจอุทิศเชียร
    บำเพ็ญมิเว้นเพียร พระองค์

Trackbacks

  1. glacial

ใส่ความเห็น