ข้ามไปยังเนื้อหา

เงามืดของราชวงศ์ในดินแดนแห่งรอยยิ้ม

วันพฤหัสบดี 25 มิถุนายน 2009

Royal Shadows in the Land of Smiles
Nicholas Farrelly – ๑ มีนาคม ๒๕๕๐
ที่มา – The Oxonian Review
แปลและเรียบเรียง – chapter 11

พอล แฮนด์ลี่
กษัตริย์ไม่เคยยิ้ม: พระราชประวัติของกษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดชแห่งประเทศไทย
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล ๒๕๔๕
๕๑๒ หน้า
ISBN 0300106823

เดือนมิถุนายน ๒๕๔๙ อันเป็นวันฉัตรมงคลเฉลิมฉลองการขี้นครองราชย์ครบ ๖๐ ปีของกษัตริย์ภูมิพล เนืองแน่นไปด้วยราชอาคันตุกะจากรอบโลกเพื่อร่วมฉลองในกรุงเทพ ในขณะที่ประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าให้การยกย่องต่อราชวงศ์ของตัวเองเป็นที่สุด ปรากฏว่ามกุฎราชกุมาร จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก แห่งภูฎานได้กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจอย่างไม่คาดฝัน พสกนิกรที่แสดงความชื่นชมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ติดตามพระองค์ทุกพระราชอิริยบท ต่างปลาบปลื้มกับความมีเสน่ห์และทรงมีพระสิริโฉมที่หล่อราวกับวัยรุ่น ทรงสำเร็จการศึกษาจากอ็อกซ์ฟอร์ด และทรงครองอาณาจักรแห่งพุทธ เจ้าชายจิกมีได้กลายเป็น “เจ้าชายในฝัน” ของประเทศไทย มีรายงานว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขอข้อมูลเพื่อเยี่ยมชมประเทศภูฎานได้เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ความหลงใหลได้ปลื้มดังกล่าวเห็นได้จาก เมื่อเจ้าชายจิกมีเสด็จกลับมากรุงเทพในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๙ เพื่อทรงเข้ารับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรังสิต

อีกไม่นานหลังจากเดือนธันวาคม ๒๕๔๙ พระบิดาของเจ้าชายจิกมี กษัตริย์ จิกมี ซิงเย วังชุก ทรงสละราชสมบัติ เป็นการสร้างความประหลาดใจ เพราะตามแผนเดิมแล้วการมอบอำนาจควรจะเป็นปี ๒๕๕๑ “เจ้าชายในฝัน” ทรงเข้าพิธีรับการสถาปนาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งภูฏาน ซึ่งเป็นภารกิจที่ใหญ่หลวง พระองค์ทรงมีหน้าที่เป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไปเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ โดยมีรัฐสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย สื่อของไทยได้ประโคมข่าวนี้อย่างครึกโครมในการแสดงความยินดีต่อการขี้นครองบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน เนื่องจากภาพพจน์โดยรวมของพระองค์ที่เพียบพร้อมไปด้วยจริยธรรม พระสิริโฉม และเป็นเจ้าชายที่น่าใฝ่ปอง และได้กลายมาเป็นสมเด็จพระราชาธิบดี สังคมไทยสรรเสริญสดุดีต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขี้นอย่างสงบและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเรื่องการสืบสันตติวงศ์ได้อยู่ในใจของหลายๆคนเช่นกัน

เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทุกๆราชวงศ์จะต้องเผชิญกับเรื่องการสืบสันตติวงศ์เมื่อปลายรัชกาลที่ยาวนานใกล้เข้ามา อย่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์รอสืบราชบัลลังก์มาหลายทศวรรษภายใต้เงาพระราชมารดา กษัตริย์ภูมิพลอดุลยเดชแห่งประเทศไทยทรงครองราชย์มาหลายทศวรรษ ข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับอนาคตของราชวงศ์ได้สะสมมานานเกินปกติ เวลานี้เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร นายทหารทรงอยู่ในวัยกลางคน ทรงเป็นที่เลื่องลือในด้านความถือพระองค์และความเจ้าชู้ ทรงประสบความล้มเหลวที่จะทำพระองค์ให้เป็นที่รัก การปฏิบัติพระราชกรณียกิจของราชวังเพื่อที่จะยัดเยียดปิดบังภาพพจน์ของพระองค์ยังไม่สามารถช่วยได้ การพัวพันในการเมืองของราชวงศ์ไทยเป็นไปอย่างซ่อนเร้น และในบางครั้งเจือปนด้วยความรุนแรง เป็นการขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับภาพพจน์ที่ประเทศไทยพยายามเสนอต่อโลกให้เห็นว่า เต็มไปด้วยรอยยิ้มและมีความสบายๆ

เมื่อไม่นานมานี้ในเดือนกันยายน ๒๕๔๙ ได้มีการพิสูจน์ถึงภาพพจน์ของ “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อบรรดานายพลทั้งหลายปฏิบัติการรัฐประหารในชั่วข้ามคืน ผู้สังเกตการณ์ทุกคนต่างต้องการทราบวา “การแทรกแซง” เช่นนี้เป็นการนำวันอุบาทว์เก่าๆของวงจรการทำรัฐประหารและการทำรัฐประหารซ้อนให้หวนกลับคืนมาหรืออย่างไร นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก่อนปี ๒๕๔๙ ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๕ ประเทศไทยประสบกับการทำรัฐประหารมาถึง ๑๗ ครั้ง ตั้งแต่ช่วงปลายของปี ๒๕๓๓-๒๕๔๓ หลายๆคนได้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่าง (นับตั้งแต่ รัฐธรรมนูญ รัฐสภาตามแบบอย่างประชาธิปไตย และกฎหมาย) มีความมั่นคงเป็นที่สุด ความรู้สึกในตอนนั้นว่าทหารจะกลับเข้าไปอยู่ในกรมกองอย่างถาวร และในที่สุดกษัตริย์ภูมิพลทรงช่วยสถาปนาระบบประชาธิปไตยให้ยั่งยืนสถาพร แต่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดผิด

ใครก็ตามที่หวังจะมาช่วยยืนยันว่า ความคิดของคนส่วนใหญ่ไม่ถูกต้องอย่างไร ก็ต้องอ่านกษัตริย์ไม่เคยยิ้มของพอล แฮนด์ลี่ เป็นหนังสือที่สืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์ของประเทศไทย เพื่อพยายามทำความเข้าใจในเรื่องที่ไม่มีใครทราบมาก่อน และการวิจารณ์ทางการเมืองและด้านสังคมของราชวงศ์ ขณะเดียวกันเป็นการให้ความสว่างในความมืดที่ครอบคลุมพวกนิยมเจ้าและศักดินาการเมืองของพวกทหาร นับเป็นบรรยากาศที่ไม่แน่นอนและน่าสะพรึงกลัว สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยลและแฮนด์ลี่เองได้ถูกแรงกดดันอย่างหนักเพื่อให้หยุดการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ พวกเขาไม่ยอมแพ้ต่อการข่มขู่ของพวกนิยมเจ้า หรือฝ่ายประชาสัมพันธ์ของราชวัง การวิเคราะห์เหตุการณ์จากทั่วโลกในการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเป็นประชาธิปไตย การเข้าแทรกแซงของพวกทหารศักดินา มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณกับภาพพจน์ที่พยายามสร้างขึ้นมา ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องได้รับชัยชนะเสมอไป

ความพยายามด้านอื่นในการจัดการเรื่องภาพพจน์ของประเทศไทยได้รับความสำเร็จมากกว่า หลังจากเกิดรัฐประหาร รัฐบาลทหารได้พยายามโหมประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลก ความพยายามเยี่ยงนี้ และคนดูจากทั่วโลกที่มีแต่ความเห็นอกเห็นใจ ไม่เคยเลยแม้แต่สักวินาทีเดียวที่ภาพพจน์ของประเทศไทยที่ถูกสร้างอย่างระมัดระวังว่า มีแต่ความสงบและเต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะได้รับความสงสัย การทำรัฐประหารได้รับการสรรเสริญอย่างกว้างขวางว่าเป็น การแทรกแซงโดยปราศจากการเสียเลือดเสียเนื้อ เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้ก่อให้เกิดความแตกแยก บรรดานายพลทั้งหลายเข้ายึดอำนาจโดยเบ็ดเสร็จ และทักษิณมหาเศรษฐีจากโทรคมนาคม ซึ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศถึงสามสมัย นายกรัฐมนตรีที่เต็มไปด้วยความคิดอิสระ กำลังติดราชการที่ยูเอ็น นครนิวยอร์ค รัฐบาลตะวันตกได้แต่บ่น และความตกตะลึงของนักวิชาการที่สงสัยเพียงหยิบมือ ต่างไม่ได้กระทำการใดๆเพื่อที่จะลบภาพพจน์อันเจิดจรัสของการทำรัฐประหารนี้เลย ภาพแล้วภาพเล่าของนักท่องเที่ยวที่เริงร่าถ่ายรูปร่วมกับรถถัง เคียงข้างทหารที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสนอความสง่างามตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วโลก

หลายๆคนทั้งในและนอกประเทศไทย ต่างหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากความตึงเครียดที่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติมาเป็นเวลานับเดือน โลกรู้สึกโล่งอกต่อการทำรัฐประหารอย่างมีพัฒนาการของประเทศไทย จะหวังสิ่งใดอีกเล่าจากดินแดนที่ผู้คนมีแต่รอยยิ้มเช่นนี้ เราได้รับการบอกเล่าว่า ไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ แค่มีคนถูกจับไม่กี่คน และไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องวิตกกังวล นายพลทั้งหลายเสนอหน้าออกทีวี และประกาศอย่างเป็นทางการว่าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ พวกเขาทั้งยิ้มและตั้งท่าเพื่อให้ทำการถ่ายรูป กษัตริย์ บุคคลซึ่งเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากการทำรัฐประหารในการครองราชย์มาร่วม ๖๐ ปี ทรงมีพระฉายาลักษณ์ทรงร่วมปรึกษากับคณะรัฐประหารเช่นกัน หลายๆคนได้มองว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ว่า กษัตริย์ทรงเห็นชอบในการเข้าไปแทรกแซงของบรรดานายพลเหล่านี้

นายพลทั้งหลายประกาศยกเลิกการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ทักษิณถูกบังคับให้ออกไปพำนักในถิ่นที่หรูหราในกรุงลอนดอน คนไทยหลายๆคนได้แสดงความยินดีกับการถูกปล้นอำนาจของทักษิณ โดยเฉพาะในกรุงเทพ ชนชั้นกลางในเมืองหลวง ต่างก็เบื่อหน่ายกับสิ่งที่พวกเขามองเห็นว่า รัฐบาลยุคทักษิณมีแต่เรื่องผิดศีลธรรม การฉ้อราษฎร์ และมีแต่การใช้ความรุนแรง ภายใต้ทักษิณมีปัญหาเกิดขึ้นหลายอย่าง รวมถึงการทำสัญญาธุรกิจที่เลวทราม การกล่าวหาว่าฉ้อราษฎร์ และความฟุ้งเฟ้อ และโดยเฉพาะ “สงครามยาเสพติด” ที่เสียเลือดเสียเนื้อในปี ๒๕๔๖ อย่างไรก็ตาม คำวิจารณ์ใดๆไม่สามารถทำลายแม้แต่ปลายก้อยต่อความสำเร็จที่ได้รับจากการเลือกตั้งอย่างไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ทำตัวเบื้อใบ้กับการที่พวกเขาถูกบังคับให้ยกเลิกการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ปัญหาจากการปกครองของทักษิณไม่ได้เลวร้ายไปกว่าบุคคลอย่าง โทนี่ แบร์ หรือ จอร์ช ดับเบิ้ลยู บุช อย่างที่นักวิจารณ์หลายคนพยายามแสดงความเห็น ดังนั้นคำถามยังคงมีอยู่ว่า ทำไมคนอย่างทักษิณซึ่งได้รับความอับอายจากการถูกทำรัฐประหารในระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ จึงไม่ออกแถลงการณ์ตอบโต้ที่องค์การสหประชาชาติ

เมื่อรถถังเคลื่อนเข้ายึดกรุงเทพ ไม่ว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ หรือความสัมพันธ์ต่างๆที่มี หรือสถานะใดๆ จะช่วยทักษิณซึ่งมาจากการเลือกตั้งได้ หกเดือนผ่านไป ฝ่ายทำรัฐประหารและรัฐบาลที่ทหารแต่งตั้งมีความแข็งแกร่งขึ้น แต่ความกังวลในเป้าหมายของอนาคต และความสามารถของทหารที่จะบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาต่างๆยังคงมีอยู่ ปัญหาจากพวกก่อความไม่สงบชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังครุกรุ่นอยู่ รวมถึงเศรษฐกิจที่ซบเซายังคงเป็นเรื่องหลักที่สร้างความกังวล ทั้งนายพลและโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทหารต่างขานรับด้วยการพูดถึงเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” ความคิดที่คลุมเครือในเรื่องความเรียบง่ายและเพื่อความยั่งยืนถาวรตีกันให้ยุ่งกับความกำกวมและความพอใจในตัวเอง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เป็นแนวความคิดที่มาจากกษัตริย์ภูมิพลและที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ในราชอาณาจักรแล้ว หลักคำสอนใดๆย่อมอยู่เหนือการตำหนิทั้งปวง

ในระหว่างวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงปลายยุค ๙๐ (ค.ศ.) กษัตริย์ภูมิพลทรงใช้คุณสมบัติพิเศษส่วนพระองค์ที่เป็นที่ยอมรับ และภาพพจน์ดั่งสมมุติเทพเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางสังคม และเศรษฐกิจแห่งชาติ ตามแนวทางของพระองค์ บางครั้งเรียกว่า “ทฤษฎีใหม่” เป็นความคิดที่สร้างมาจากความพอใจในสิ่งที่มีอยู่อย่างเรียบง่าย “ใช้ชีวิตและการกินอยู่อย่างพอเพียง” เป็นเรื่องแปลกที่ว่า เป็นการสนับสนุนการใช้ภาษาเดียวกัน ในเรื่อง “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” ที่ทำให้ประเทศภูฏานมีชื่อเสียงว่าเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่เก่าแก่และแปลกใหม่ซึ่งต่างจากที่มีอยู่ในสังคม ใครก็ตามที่ได้ผ่านกรุงเทพเมื่อไม่นานมานี้ จะเห็นความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยยุคใหม่และอุดมการณ์ของพระองค์ ภาพที่เห็นได้ชัดจากศูนย์การค้าที่อลังการของสยามพารากอนในใจกลางกรุงเทพมูลค่า ๑๑,๗๓๐ ล้านบาท สร้างบนเนื้อที่ที่เช่ามาจากสำนักงานทรัพย์สิน ไม่ว่าจะมีความขัดแย้งอย่างมากมายเพียงไร ก่อนที่จะมีการทำรัฐประหาร ทฤษฎี “เศรษฐกิจพอเพียง” ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักวิชาการต่างๆ เป็นสำนวนที่ฟังดูสำคัญแต่ขาดพื้นฐานต่อการวางนโยบายของรัฐ ขณะนี้การเข้ายึดอำนาจของทหารซึ่งได้รับการสนับสนุนจากในวัง และการข้องเกี่ยวของราชวงศ์ รัฐบาลย่อมหนุนแนวคิดทางเศรษฐกิจของกษัตริย์อย่างเต็มตัว

เหตุผลหนึ่งคือแทบจะไม่มีการวิจารณ์เกี่ยวกับทฤษฎีของกษัตริย์ เนื่องจากการตั้งคำถามต่อองค์กษัตริย์ หรือบุคคลใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ไม่เพียงแค่เป็นเรื่องอันตราย หากยังผิดกฎหมายของประเทศไทย ชาวต่างชาติไม่ได้รับความคุ้มครองจากข้อกล่าวหาจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นกัน ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งถูกจับในปี ๒๕๓๘ ด้วยข้อกล่าวหาว่า แสดงความคิดเห็นต่อเจ้าฟ้าหญิงแห่งประเทศไทยในทางเสียหายบนเครื่องบินของสายการบินไทย และเหตุการณ์อื่นอีกสองครั้ง ครั้งหนึ่งในปี ๒๕๔๕ การโต้เถียงในฟาร์อิสเทิร์นอีโคโนมิครีวิวส่งผลให้นักข่าวที่มีชื่อสองคนถูกตั้งข้อหาหมิ่นฯ และในปี ๒๕๕๐ ชายชาวสวิสถูกจับและถูกคุกคามที่จะถูกขังคุก ๗๕ ปีในข้อกล่าวหาว่า ทำลายพระฉายาลักษณ์ของกษัตริย์ เมื่อไม่มีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง การกล่าวหา “ต่อต้านกษัตริย์” ได้ถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการปิดปากคู่ต่อสู้ทางการเมือง อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรและคู่กัด นายทุนแห่งสื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งคู่ต่างใช้วิธีนี้ในระหว่างการเผชิญหน้ากันในปี ๒๕๔๘-๒๕๔๙ ในเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของการเมืองของประเทศ แต่ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถอ้างว่าได้รับความเห็นชอบเต็มที่จากกษัตริย์ ผลก็คือมีการทำรัฐประหารเพื่อผ่าทางตันทางการเมือง

การเข้มงวดต่อการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะเป็นประเด็นสำคัญที่ผมจะหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในครั้งนี้ เนื่องจากว่าหนังสือที่เพิ่งวางแผงของพอล แฮนด์ลี่ นักหนังสือพิมพ์อาวุโส เป็นการท้าทายกับการใช้กฎหมายหมิ่นฯของไทย หนังสือของเขาถูกสั่งห้ามขายในประเทศไทย การโฆษณาขายหนังสือเล่มนี้บนเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยลถูกปิดกั้นเป็นระยะในราชอาณาจักร ผู้สังเกตการณ์ได้เห็นพ้องต้องกันว่า พระราชประวัติของกษัตริย์ภูมิพลที่เขียนขึ้นโดยไม่ได้รับพระราชานุญาตเช่นนี้ หมายถึงว่า แฮนด์ลี่อาจจะไม่ได้รับการอนุญาตให้กลับคืนสู่ประเทศไทย

หนังสือกษัตริย์ไม่เคยยิ้มของแฮนด์ลี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่หาได้ยากมากเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้มีการถกเถียงกันในวงกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะนอกประเทศไทย แม้หนังสือเล่มนี้จะวางแผงเป็นเดือนแล้ว ยังคงได้รับการวิจารณ์และโต้แย้งอยู่ตลอดเวลา ที่น่าแปลกก็คือ มีหลายๆคนซึ่งอ้างว่าไม่ได้อ่าน แต่ยังรู้สึกได้ถึงความทุกข์ที่ได้รับจากหนังสือเล่มนี้ ผู้ที่ไม่สนใจหนังสือเล่มนี้อาจมาจากพื้นฐานที่ว่าเป็นหนังสือที่ตีเจ้าอย่างรุนแรง หรือพูดให้ง่ายๆก็คือ เป็นการตีชาวไทยด้วย ในทางกลับกัน หนังสือของแฮนด์ลี่ ง่ายๆก็คือเป็นการอารัมภบทที่ดีที่สุดสำหรับใครก็ตามที่จะทำความเข้าใจความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ของการเมืองไทย เป็นเรื่องเกี่ยวกับเครือข่ายราชวงศ์ เมื่อไม่นานมานี้นักสังคมศาสตร์ ดันแคน แมคคาโกได้ขนานนามไว้ว่า ” เครือข่ายระบอบกษัตริย์” และการปลูกฝังรากฐานของอำนาจแห่งบัลลังก์อย่างต่อเนื่อง

เป็นที่แน่ชัดว่า เรื่องราวในหนังสือนี้ย่อมก่อให้เกิดการโต้แย้งและความซับซ้อน แฮนด์ลี่ได้เริ่มตั้งข้อสังเกตว่า กษัตริย์ภูมิพลเป็นกษัตริย์องค์เดียวที่ทรงเสด็จพระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา ได้รับถวายการเลี้ยงดูจากนอกประเทศไทย ทรงสำเร็จการศึกษาจากยุโรป เป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช พระเชษฐาเจ้าฟ้าอนันทมหิดล ทรงเป็นยุวกษัตริย์ในปี ๒๔๗๘ แต่ก่อนที่พระองค์จะได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ ได้พบว่าพระองค์เสด็จสวรรคตด้วยทรงต้องพระแสงปืน ด้วยสภาพเหตุการณ์อันเป็นปริศนาในปี ๒๔๘๙ รายละเอียดของการสิ้นพระชนม์ยังคงเป็นเรื่องไม่แน่ชัด แฮนด์ลี่พยายามนำหลายๆทฤษฎีมาใช้ และสรุปว่าหลักฐานที่ยังคงเหลือนั้นไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ การปกปิดอย่างรีบเร่งเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีคำตอบเล็ดลอดออกมาได้ แฮนด์ลี่เขียนไว้ว่า ในทันทีที่เกิดเหตุการณ์นั้น เจ้าชายภูมิพล “เจ้าชายที่ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงแย้มพระสรวลและชอบตรัสแต่เรื่องตลกอยู่เสมอ…ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งประเทศ ซึ่งนับตั้งแต่มีพระชนมายุได้ ๑๘ ปี พระองค์ทรงเคยประทับอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง ๕ ปี” และในหนังสือของแฮนด์ลี่กล่าวว่า กษัตริย์องค์ใหม่นั้น “แทบจะไม่เคยทรงแย้มพระสรวลในที่สาธารณะอีกเลย”

กษัตริย์ภูมิพลขี้นครองบัลลังก์ที่กำลังอ่อนแอในระหว่างสมัยของเผด็จการ เล่ห์เพทุบายด้านภูมิศาสตร์การเมือง และแน่นอน การทำรัฐประหารของกองทัพที่เกิดขึ้นเป็นพักๆ แฮนด์ลี่ได้แย้งว่า “นับตั้งแต่วันที่พระเชษฐาของพระองค์ได้สวรรคตอย่างน่าสงสัย พระองค์ดูเหมือนจะไม่เคยยิ้มอีกเลย มีแต่สีพระพักตร์อันโศกเศร้าเหมือนรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด ทรงมุ่งปฏิบัติพระราชภารกิจของกษัตริย์” ในการอธิบายของแฮนด์ลี่ เราได้เรียนรู้อย่างมากเกี่ยวกับชัยชนะและความยากลำบากของพระราชาที่น่าสนเท่ห์และมีความเป็นส่วนพระองค์นี้ ทรงอุทิศพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะกษัตริย์เพื่อสาธารณะชนมากกว่า ๖๐ ปี แฮนด์ลี่จำต้องใช้ข่าวลือในการวิเคราะห์ เพื่อหาข้อสนับสนุนประเด็นของเขา ซึ่งใช้สภาพแวดล้อมมากกว่าทางเลือกอื่น เนื่องจากมีการควบคุมข้อมูลอย่างแน่นหนาจากพระราชวัง ในเรื่องเกี่ยวกับพระราชอำนาจ จึงเป็นการสะดวกที่จะตีความว่าเป็น “ข่าวลือ”

ในประเทศไทย มีข่าวลือที่กระซิบต่อๆกันมามากมาย แต่ไม่ได้เป็นเรื่องทั้งหมดของกษัตริย์ภูมิพลหรือรัชสมัยของพระองค์ แฮนด์ลี่เสนอเรื่องราวที่ได้ตีความอย่างพิถีพิถันของจักรกลการเมืองที่ถูกควบคุมอย่างแน่นหนา จากคำของแฮนด์ลี่ เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ “กษัตริย์ภูมิพลทรงทิ้งบุคลิกสมัยใหม่แบบอย่างชาวยุโรป เพื่อทรงนำพาราชอาณาจักรแห่งธรรมราชาที่มีวัฒนธรรมมานานกว่าสหัสวรรษ กษัตริย์ผู้ไม่เห็นแก่พระองค์ ได้ปกครองโดยใช้หลักธรรมตามหลักพุทธศาสนา”

ความถูกต้องตามแบบแผนราชวงศ์แต่โบราณ กษัตริย์ภูมิพลทรงถูกตระเตรียมให้เป็นบุคคลที่น่าเคารพบูชา และทรงได้รับการบูชา ในทุกๆปี ปีละหลายๆเดือน ทั้งในเมืองและนอกเมืองทั่วประเทศไทยได้ประดับตกแต่งด้วยธง แสงสี และเทิดพระเกียรติต่อการประกอบพระราชกรณียกิจที่ประสบความสำเร็จ และเฉลิมพระเกียรติแห่งราชวงศ์ แฮนด์ลี่ได้ให้ตัวอย่างที่ดีของลัทธิภูมิพลนี้ เขาเขียนไว้ว่า “ในเดือนธันวาคม ๒๕๔๐ สำนักพระราชวังออกประกาศว่า พระมหากษัตริย์ทรงทำสถิติโลกในด้านจำนวนปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่ทรงได้รับ หลังจากนั้นทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง ๑๐ ใบรวดในครั้งเดียว

ในขณะที่กษัตริย์ภูมิพลได้รับการเทิดพระเกียรติอย่างใหญ่หลวงทั่วทั้งประเทศและในสากล สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ พระราชโอรสและองค์รัชทายาทกลับไม่ได้รับการยกย่องเท่ากับที่พระองศ์ทรงตั้งความคาดหวังเอาไว้ แฮนลี่ได้แย้งว่านับตั้งแต่แรกเริ่ม “กษัตริย์ภูมิพลทรงเข้าพระทัยอย่างแน่ชัดว่าเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณทรงเป็นปัญหา” อนาคตของระบอบกษัตริย์จะถูกพิสูจน์ได้จากองค์เจ้าฟ้าชายเอง เจ้าฟ้าหญิงมหาจักรีสิรินธรพระขนิษฐาอันทรงเป็นที่ชื่นชมและเป็นที่รัก อาจจะเป็นทางเลือกของคนไทยส่วนใหญ่ แต่ในหลายปีที่ผ่านมาความเด่นของเจ้าฟ้าหญิงที่มีเหนือเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณยังคงเป็นปริศนา จากแฮนด์ลี่ที่ว่า “เป็นความผิดพลาดตั้งแต่แรกของกษัตริย์ภูมิพล ซึ่งเป็นจุดอ่อนของทุกๆราชวงศ์” พระองค์ไม่สามารถที่จะประกันได้ว่า ผู้สืบทอดราชสันตติวงศ์ตามลำดับต่อมานั้น จะเป็นกษัตริย์ที่จะทรงพระปรีชาสามารถ ไม่เห็นแก่พระองค์ และทรงพระกรุณาธิคุณเยี่ยงพระองค์เอง

“ผู้สืบทอดราชสันตติวงศ์ตามลำดับ” ดังกล่าว ได้เกิดขึ้นแล้วที่ประเทศภูฏาน แต่แฮนด์ลี่ไม่ได้คิดว่าจะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย เขาได้สรุปว่าถ้าจะให้ดำรงอยู่ได้ “พระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ควรจะใช้ประโยชน์จากอภิสิทธิ์เงียบอันมหาศาลของสถาบันกษัตริย์: อำนาจและสิทธิในการเปลี่ยนแปลงเพื่อเปลี่ยนตัวเองใหม่ก่อนที่คนอื่นจะทำให้” ในคำอธิบายนี้ว่า เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณจะทรงเปลี่ยนภาพพจน์ด้านบุคลิกและการปฏิบัติพระองค์ได้หรือไม่ พระองค์จะทรงเปลี่ยนให้คล้ายดั่ง “เจ้าชายในฝัน” ตามแบบอย่างของภูฐานได้หรือไม่ แฮนด์ลี่แสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์จะเป็นหนทางเดียวที่จะให้สถาบันยังคงอยู่รอดนับตั้งแต่การสถาปนาราชวงศ์จักรีในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เกิดความวุ่นวายทางการเมือง ยังไม่นับการยกเลิกระบบสมบูรณาญาสิทธิราชในปี ๒๔๗๕ ราชวงศ์ไทยไม่ได้เพียงยังคงอยู่ แต่ประสบความรุ่งเรือง แฮนด์ลี่จึงได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มแรกนี้ขึ้นมาเพื่อถวายการสนับสนุนในกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นศูนย์รวมของเรื่องราวสมัยใหม่ในอำนาจของราชวงศ์และความสำเร็จที่เห็นได้ชัด ด้วยสถานการณ์ที่มีอุปสรรคและการเข้าถึงข้อมูลไม่ได้อย่างเต็มที่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ว่า หนังสือกษัตริย์ไม่เคยยิ้มนี้ มีข้อบกพร่องบางอย่างจึงถูกวิจารณ์ต่อต้านอย่างหนาหู อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้สำหรับหลายๆคนแล้วถือว่าเป็นการท้าทายและสร้างความยุ่งยาก หลายๆคนดูเหมือนมีความลังเลที่จะเปิดใจอ่านทั้งเล่ม และรับฟังการวิเคราะห์ สำหรับบางคนทั้งเหตุการณ์และบุคลิกที่ปราศจากการถูกเซ็นเซอร์นั้น แทบจะไม่สอดคล้องกับพระราชประวัติของราชวงศ์ที่พวกเขาได้รับความคุ้นเคยมาก่อน

บทวิจารณ์ที่มีมากมายของหนังสือพระราชประวัติในมุมมองกว้างๆเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่ดี คำวิจารณ์ที่สำคัญที่สุดจาก แกรนท์ อีแวนส์ นักมนุษย์วิทยาในฮ่องกง ซึ่งแฮนด์ลี่ได้ตอบคำถามต่ออีแวนส์ด้วยตัวของเขาเองว่า คำวิจารณ์ของอีแวนส์ “ช่างเหมือนกันกับมุมมองจากราชวังและจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่มีต่อหนังสือของผม จุดประสงค์เพื่อชักชวนให้คนเพิกเฉยเสีย ก่อนที่จะเปิดอ่านหนังสือเล่มนี้” นักวิจารณ์อื่นๆ เช่น แอนดรูว์ วอคเกอร์ นักมนุษย์วิทยา ดันแคน แมคคาโก นักสังคมศาสตร์ นักเขียนอย่าง เอียน บูรูมา และ คริสต์ เบเกอร์ นักเขียนคนดังในกรุงเทพ ให้การวิจารณ์หนังสือเล่มนี้ในด้านบวก ดันแคน แมคคาโก จากนิวเลฟรีวิว (New Left Review) พยายามอธิบายหนังสือเล่มนี้ได้อย่างดีเยี่ยมและความน่าเชื่อถือที่มีต่อนักเขียนที่พูดไทยได้อย่างน่าทึ่งคนนี้ว่า “เป็นฝันร้ายที่สุดของผู้พิทักษ์ในราชวงศ์จักรี” แมคคาโกได้ให้ข้อแย้งว่า ในมุมมองของราชวัง “หนังสือของแฮนด์ลี่เป็นการบ่อนทำลายการประชาสัมพันธ์ที่มีมานับทศวรรษ และล่วงเกินอำนาจลึกลับของสถาบันกษัตริย์ซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

จุดเด่นของหนังสือกษัตริย์ไม่เคยยิ้มนี้คือ แฮนด์ลี่ไม่ได้ถูกปิดตาจากเครือข่ายอันแข็งแกร่งของบรรดาข้าราชบริพารที่รายล้อมกษัตริย์ภูมิพล ที่คอยสร้างภาพของพระองค์ให้ปรากฏต่อสาธารณะชน และปกป้องพระองค์จากคำวิจารณ์ใดๆ ที่แน่ๆสำหรับหนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหนทางที่ประเทศไทยดิ้นรนที่จะให้มีการประนีประนอมระหว่างสถาบันอันเก่าแก่และสถาบันสมัยใหม่นี้ คำอธิบายในเรืองนี้ สำหรับบุคคลซึ่งยังคงมองข้ามบทบาทของกษัตริย์ไทยที่มีต่อการเมือง นับได้ว่าซื่อและขาดวิสัยทัศน์ ตามการประเมินของผู้สังเกตการณ์ต่างๆที่มีข้อมูลพร้อม จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเลยที่ว่า กษัตริย์ภูมิพลสนับสนุนการทำรัฐประหาร เพื่อขัดขวางโครงสร้างของอำนาจที่จะขึ้นมาทัดเทียมกันของทักษิณ ยังคงมีคำถามที่ยังไม่มีคำตอบอีกมากมายเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ว่า ในอนาคตใครก็ตามที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจ ซึ่งจะมีบทบาททางการเมืองที่แข็งแกร่งคล้ายๆกันจะทำอย่างไร หนังสือของแฮนด์ลี่เกี่ยวกับเรื่องราวของราชวงศ์ในประเทศไทย ไม่เพียงสะท้อนเรื่องเทพนิยายของชาวภูฏานแห่งเทือกเขาหิมาลัย แต่ยังได้เสนอเรื่องราวที่ไม่เคยมีมาก่อนเกี่ยวกับ การต่อสู้อย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นแล้วก็หายไปในบรรยากาศของกรุงเทพที่ร้อนระอุ

ขณะนี้ประเทศไทยดำเนินไปอย่างไร้เป้าหมาย โดยไม่มีแม้แต่เงาของความเป็นประชาธิปไตยแบบเดิม เหตุการณ์ไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า ทั้งกษัตริย์และบรรดานายพลต่างๆของพระองค์ มีความต้องการอย่างเพ้อฝันเพื่อจะขับไล่ผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ภูมิพล จะได้รับการสืบทอดในสิทธิ์พิเศษแห่งราชวงศ์ และการแทรกแซงเหนือประชาธิปไตยต่อไปหรือไม่ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และทรงเป็นที่รัก ทรงจัดการความยุ่งยากทางการเมืองให้ผ่านพ้นไปได้ โดยการรวบรวบบุคคลซึ่งมีชื่อเสียง ทั้งมีเจตนาดี และมีความอดทน

อนาคตของกษัตริย์ (หรือราชินี) อาจจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการและที่สำคัญที่สุด ไม่มีอะไรที่จะประกันได้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะทรงแต่งตั้ง “รัชทายาท ซึ่งพร้อมไปด้วยพระปรีชาสามารถ ไม่ทรงเห็นแก่พระองค์ และทรงพระกรุณาธิคุณเยี่ยงพระองค์เอง” ความแตกต่างเห็นได้จากภูฏาน กษัตริย์จิกมีทรงเปรียบดังแสงสว่างของพระอาทิตย์ในดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัย แต่เงาแห่งกษัตริย์ภูมิพลในประเทศไทยดูเหมือนจะทอดยาวขึ้น รัชสมัยของพระองค์ที่ทั้งยาวนานและเจริญสมบูรณ์กำลังจะก้าวเข้าสู่ช่วงปลาย และจะเป็นปีที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ในเวลานี้ประชาชนแห่ง “ดินแดนแห่งรอยยิ้ม” พบว่าตัวเองกำลังจ้องมองความขัดแย้งแบบใหม่และไม่เป็นที่น่าต้องการ

91 ความเห็น leave one →
  1. เสี่ยวหมัดสั่ง permalink
    วันพฤหัสบดี 24 กุมภาพันธ์ 2011 10:31 น.

    ผมบอกแล้วปัญหาบ้านเมืองเกิดจากความไม่เท่าเทียมทางชนชั้น อาจารย์สุรชัยพูดได้ชัดเจนที่สุด คุณจะร่างจะแก้รัฐธรรมนูญอีกกี่ร้อยฉบับหากคุณไม่มองถึงตัวปัญหาที่แท้จริง หรือไม่กล้ามอง ไม่กล้าแตะต้องตัวปัญหา เสียงบประมาณเสียเวลาเปล่าๆครับ เหมือนจับเเพะนั่นแหละครับ รัฐธรรมนูญเป็นเพียงหลักการ ซึ่งก็เหมือนอาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นคุณจะใช้ให้เกิดประโยชน์หรือโทษก็ได้ รัฐธรรมนูญปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีฉบับหนึ่ง ยังเป็นรัฐธรรมนูญที่เลวได้ถ้าขัดต่อการใช้อำนาจของอำมาตย์ ถ้าคุณไม่กล้าแตะต้องภูมิพลอย่าหวังว่าความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นในสังคมไทยได้

  2. ไทยรักตัวเอง permalink
    วันพฤหัสบดี 24 กุมภาพันธ์ 2011 16:12 น.

    เท่าที่ได้เป็นคนไทยที่พึงจะเริ่มเรียนรู้ข้อเท็จจริงของในหลวง ก็อาจจะสรุปย่อๆความคิดเห็นเกี่ยวกับกษัตริย์ของเราได้คือ

    ๑. ไม่เคยส่งเสริมประชาธิปไตยให้เป็นระบบที่ดีขึ้นเลย
    ๒. กลับสนับสนุนกองทัพให้ล้มล้างรัฐธรรมนูญมาตลอดตั้งแต่สมับสฤษดิ็์์มา
    ๓. ใช้เงินทองของประชาชนไปมามากเช่นการใช้เงินเจ็ดหมื่นล้านช่วยไม่ให้ธนาคารของตนล้มลง แล้วชักดาบ.
    ๔. ฆ่าพี่ชายแล้วสั่งประหารชีวิตแพะสามศพอย่าน่าเกลียดที่สุด
    ู๕. ชอบสั่งสอนคนทั้งชาติ แต่ไมสามารถควบคุมลูกชายของตนให้ละเว้นกระทำชั่วได้.
    ๖. เมื่อถึงคราวขับขันก็สั่งให้ทหารฆ่าประชาชน เป็นมาหลายครั้ง.

    อื่นๆอีกเยอะ น่าเสียใจที่คนไทยโง่เพราะถูกมันจูงจมูกมาหลายสิบปี หลงรักมากๆ คนที่รู้ความจริง ไม่มีใครกล้าเปิดปากเพราะต้องโดนคุกอย่างหนักหรือไม่ก็โดนเก็บ.

    • วันพฤหัสบดี 24 กุมภาพันธ์ 2011 23:29 น.

      ทั้งหมดที่โจมตีมามีแค่เนี้ยหรอ อยากฟังมากกว่านี้อ่ะ เอาหลักฐานจะจะ ไม่อยากฟังที่เป็นคำพูดที่เลือนลอย ฟังตามๆ กันมา ฟังตามกระแส ขอข้อเท็จจริง จะเป็นพระคุณ

    • ร้อย.ลว.ไกล 9 permalink
      วันจันทร์ 28 กุมภาพันธ์ 2011 09:48 น.

      ท่านลองคิดใหม่ดีใหมครับเลิกการจาบจวงสถาบันพระมหากษัตริย์ซักทีเถอะครับ หันมาเป็นหนึ่งรักใคร่สมัคคี นำพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญ เลิกการทะเลาะกันเพื่อพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

    • วันจันทร์ 28 กุมภาพันธ์ 2011 09:50 น.

      เลิกการจาบจวงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยเถอะครับ หันมาสมัครสมานสามัคคีนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญ หันมาเป็นลูกที่ดีของพ่อ อย่าเกลียดพ่อเถอะครับ

    • เกลียดพวกจัญไรแผ่นดิน ไปตายซะทั้งโคตรมึงน่ะ permalink
      วันอังคาร 6 ธันวาคม 2011 16:21 น.

      ได้ไทยรักตัวเอง ข้อ 4 ที่อ้างมึงเห็นเหรอ มึงอ่านประวัติศาสตร์มั้ยวะ ตอนนั้นทรงพระเยาว์มากและยังประทับอยู่เมืองนอกด้วย ฉลาดนักมึงเรื่องโง่ๆ เนี่ย แล้วที่มึงใส่ร้ายว่าสั่งฆ่า กลับไปถามวิญญาณบุพการีมึงด้วยว่าเวลาที่มันจะฆ่ากันทั้งเมืองน่ะ สุดท้ายใครห้ามไว้มันถึงหยุดกัน

      • วันอังคาร 6 ธันวาคม 2011 17:43 น.

        แล้วที่ฆ่าประชาชนสังหารหมู่กลางกรุงแม้กระทั่งในวัด เมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 ล่ะ แล้วทำไมไม่ออกมาห้ามล่ะ ก่อนสังหารหมู่น่ะใครเอ่ยเปิดห้องประชุมตึกเฉลิมพระเกียรติ์ศิริราชให้พวกบรรดาแม่ทัพนายกอง นายกอภิสิทธิ์ แล้วตามด้วยพวกศาล ให้เข้ารับคำสั่ง ขอให้ท่านทำหน้าที่ให้เข้มแข็ง นี่ไงถึงว่าสั่งให้ปราบฆ่าเสื้อแดงได้เลย แล้วสุนัขตัวไหนล่ะไม่เห็นออกมาห้ามเลย.

  3. วันพฤหัสบดี 24 กุมภาพันธ์ 2011 22:37 น.

    ไอ้เหล่ยุทธ โดนลิ่วล้อปลาวาฬเล่นงานทุกวัน
    เพราะไม่ยอมบุกเขมรตามคำสั่งอีวาฬ จะปลดไอ้เหล่
    555 ข่าวดีจริงให้มันหั่นกันเองให้ราบไปเลย 555

    ….หั้นกัดเกีย….

  4. วันเสาร์ 5 มีนาคม 2011 22:43 น.

    เมื่อใหร่ กษัตรย์ จะหมดไปสักที
    คนเหมือนกัน เกิดมามีมือ มีตีน
    แต่มา กรอบ ตีน กัน
    ขอร้อง กรูเกิดที่ อเมริกา ต่างชาติ เขา นั่งหัวเราะ แม่ง หน้าอาย

  5. วันศุกร์ 11 มีนาคม 2011 09:40 น.

    เลิกคิดหรือทำลายสถาบันฯ ชาติ ศาสนา ได้ไม่ครับ
    เราควรเคารพในกฏหมายบ้านเมือง ไม่ใช่คิดที่จะทำตามใจตัวเอง
    เพื่อสร้างความเดือนร้อนให้กับเพื่อนชาวไทย
    หยุดทำร้ายประเทศไทยนะครับ

  6. tnt4571 permalink
    วันอังคาร 17 พฤษภาคม 2011 11:57 น.

    ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า
    ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
    ไม่มีใครต่างล้ำเลิศน่าเทิดทูล
    ประชาชนสมบูรณ์นิรัดร์ไป
    เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
    ประชาชนก็ย่อมมีชีวิตใหม่
    เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
    ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

  7. รักแผ่นดิน permalink
    วันอาทิตย์ 13 พฤศจิกายน 2011 09:33 น.

    คุณ gongla คุณเกิดที่อเมริกา แสดงว่าคุณมีการศึกษาที่ดี ก็คงน่าจะคิดได้ดีกว่านี้ และจะใช้ภาษาไทยทำพระง้าวอะไร ในเมื่อคุณอายรากเง่าของตัวเอง?? หมาที่บ้านผมยังเชื่อในตัวมันว่ามันเป็นหมาไทย มันฟังภาษาไทยเข้าใจ ถ้าคุณอายที่ได้เกิดคนไทย อายในรากปมโคตรเง่าตระกูลของคุณ ก็อย่าได้ถือว่าคุณเป็นคนไทยเลย จงไปที่ชอบที่ชอบของคุณเถิด เพราะว่าคนไทยทั้งประเทศเขาพอใจที่จะทำแบบนั้น และคุณไม่มีสิทธิละเมิดความพอใจของคนไทยด้วย และที่คุณมีบุญได้เกิดมาใช้ภาษาไทย เพราะโคตรเง่าของคุณนั้นเป็นคนไทย ถ้าไม่พอใจหรืออายที่เป็นคนไทย ก็ไปจิกหัวด่าโคตรเง่าของคุณ อย่าดูถูกคนไทยทั้งประเทศ อย่าดูถูกหรือหมิ่นในสิ่งที่คนไทยเขารักและหวงแหน คิดให้ดีๆนะครับ คุณมีการศึกษาดีแต่ทำไมจิตใจต่ำช้า จิงๆ

  8. รักแผ่นดิน permalink
    วันอาทิตย์ 13 พฤศจิกายน 2011 10:08 น.

    แล้วก็…คุณ “คนไทยรักตัวเอง” ^^ มึงรักแต่ตัวเองจริงๆเลยนะ 55+ ว่าคนอื่นโง่ ดูตัวเองก่อนดีกว่านะ คุณน่ะโง่ที่เชื่ออะไรโดยไม่มีมูล ถามจิงมึงเห็นกับตาเลยป่ะ หูอ่ะแขวนอะไรถ่วงไว้บ้างจะได้หนักๆ แล้วอีกอย่างถ้าคุณมีลูก กรูล่ะอยากรู้นักว่าลูกของคุณ จะดีจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเลยมั๊ย? สามารถบังคับลูกได้ทุกอย่างรึป่าว ทุกคนเป็นมนุษย์มีความคิด มีสติ มีปัญญา ลองคิดดูนะว่าควรจะเชื่อคำพูดเลื่อนลอยไร้สติของผู้ที่อ้างว่าตัวเองเป็น”คนไทย” ดูถูกแผ่นดินไทย หมิ่นสถาบันกษัตริย์ที่คนไทยทุกคนพอใจและเต็มใจรักพระองค์ โดยไม่มีใครมาเป่าหู และไม่มีผู้ใดมาบังคับ เพราะคนไทยแท้ๆ ทุกคนรักพ่อที่การกระทำที่พ่อได้ทำเพื่อลูกคนไทยและผู้ที่ดูหมิ่นชาติและยังเรียกตัวเองว่า”คนไทย”ทุกคน…..

  9. masak permalink
    วันพุธ 18 กรกฎาคม 2012 19:14 น.

    ผมสงสัยว่าแผ่นดินนี้ใครเป็นเจ้าของ ขอโทษนะครับ โลกนะเกิดมาก่อนคน ไม่มีโลกคนอยู่ไม่ได้
    โลกไม่มีคนโลกอยู่ได้ แผ่นดินนี้เราช่วยกันสร้างนะครับ ผมถามหน่อย พระนเรศวร พระองค์ต่สู้กับ พม่าทั้งกองทัพได้เพียงพระองค์เดียวหรอ มีนายทหาร ทลวงฟัน มีแม่ทัพทหาร เราวีรชน ที่ล้มตายเพื่อนบ้านเมือง ถ้าเมืองไม่มีคน จะมีเมืองไปทำไม ดังนั้น ผมเห็น ว่าประชาชน จึงสำคัญ กว่าสิ่งอื่น

    • คนไทย permalink
      วันพฤหัสบดี 17 พฤศจิกายน 2016 15:34 น.

      เราจะมีผน.ไว้ทำไม ทำไม่ไม่ให้ประชาชน 60 ล้าน คนปกครองประเทศไทยไปเลย โง่อีก

  10. วันอังคาร 24 กรกฎาคม 2012 02:13 น.

    ..ก็ถึงใช้คำว่า “ศูนย์รวมน้ำใจ” ยังไงละครับ..ถามว่าถ้านายทหาร ทลวงฟัน แม่ทัพนายกอง ตลอดทั้งประชาชนทั้งหลายไม่มีผู้นำที่เก่งกล้าสามารถ เขาจะออกมาต่อสู้กอบกู้บ้านเมืองกันเองเหรอครับ ถ้าย้อนไปในประวัติศาสตร์ก็คงมีนะครับที่จะลุกขึ้นสู้ แต่คงจะกอบกู้บ้านเมืองไทยไว้ไม่ได้จนถึงวันนี้หรอก ป่านนี้ไทยคงเป็นส่วนหนึ่งของพม่า ในมุมหนึ่งถ้ามองในแ่ง่ของคนทั่วไปที่หัวทันสมัย อาจมองว่าถ้างั้นคงดีเพราะจะได้อยู่ใต้การปกครองอังกฤษ จะได้เก่งภาษาอังกฤษเหมือนคนพม่าบ้าง ก็ตามแต่จะคิดกันไป แต่คนเราเกิดแผ่นดินไหน เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ใด ควรที่จะรู้รักความเป็นรากเหง้าของตน ผมก็คนหนึ่งละครับที่รักความเป็นไทยของเราที่เคยเป็นมา คุณที่รักประชาธิปไตยที่จะยึดถือประชาชนเป็นใหญ่ทั้งหลาย ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นระบอบใหม่ คุณมั่นใจหรือไม่ครับว่า “อำนาจที่คุณอาจจะได้มา จะตกเป็นของประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง” “การเมือง คือ การบริหารผลประโยชน์ของชาติ คุณมั่นใจหรือว่าจะบริหารผลประโยชน์ทีได้มานั้น อย่างเท่าเทียมกัน” …

  11. วันพุธ 3 ตุลาคม 2012 09:47 น.

    เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นจริงเท็จไม่ทราบ..เกี่ยวเนื่องกับการเรียกร้องของท่านเพื่อให้ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้..ท่านจะได้รับผลตอบแทนอย่างไร

  12. You Wish permalink
    วันจันทร์ 19 สิงหาคม 2013 11:21 น.

    เสียเวลาตั้งนานเพื่อมาโพสอะไรที่ส่อความโง่ของตัวเอง เกิดที่เมืองนอก หรืออยู่ที่เมืองนอก หน้าตาก็ต้องเหมือนคนไทย คนที่นู้นเขาก็ไม่มีวันรับคุณเป็นคนของเขาหรอกคะ แทนที่จะสร้างชื่อเสียงให้ชาติของตัวเอง กลับมาโจมตีตัวเองอีก ที่เขาหัวเราะ เขาก็ว่าคุณเหมือนกันนั่นแหละ อย่าพยายามจะทำให้ตัวเองดูดีเหมือนกับว่าตนไม่ใข่คนไทยโดนการบอกว่าตัวเองไม่ได้เกิดที่ไทยหน่อยเลย ดูกระจกซะบ้าง เสียดายจริงที่เกิดมาเป็นคน ไม่รู้จักภูมิใจในตัวเอง

  13. omega permalink
    วันพฤหัสบดี 17 พฤศจิกายน 2016 02:33 น.

    เมื่อไหร่ควายเหลือง ควายแดง จะเลิกขวิดกันซะที
    พวกเสื้อดำด้วย ปัญญาอ่อนกันทั้งนั้น
    ปัญหาอันดับ 1 ในเมืองไทย คือหลักสูตรการศิกษา

ใส่ความเห็น