ข้ามไปยังเนื้อหา

หรือประเทศไทยจะเกิดสงครามกลางเมือง

วันจันทร์ 23 มีนาคม 2009

Is Thailand headed for civil war?
By Frank G. Anderson – ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๒
UPI Asia.com

นครราชสีมา ประเทศไทย – หรือประเทศไทยจะกำลังเข้าสู่สงครามกลางเมือง เป็นประเด็นที่อาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ซึ่งได้หนึออกจากประเทศไทยได้เคยกล่าวไว้ และขณะนี้เขาอาศัยอย่างสุขสบายอยู่ในบ้านของเขาที่อังกฤษ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยเพื่อนบ้านที่เป็นนักคิดอย่างมีอิสระ ซึ่งได้มีคนที่เป็นกังวลทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการกล่าวของเขา

อาจารย์ที่มีความคิดแนวสังคมนิยมได้หนีออกจากประเทศไทยเมื่อเดือนที่แล้ว เพียงก่อนหน้าที่เขาจะต้องไปแสดงตัวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อรับแจ้งข้อกล่าวหา ว่าได้กระทำการละเมิดในคดีหมิ่นฯซึ่งถูกมองว่าเป็นการคุกคามความมั่นคงของชาติ แถลงการณ์ของใจเมื่อไม่นานมานี้ได้เรียกร้องให้กษัตริย์ “ควรให้เกียรติกับบทบาทในรัฐธรรมนูญ และควรหยุดก้าวก่ายกับการเมือง”

ขณะนี้ในประเทศ ได้มีการโหมโรงรณรงค์ต่อต้านการถกเถียง ในการที่จะโยงเอาเรื่องราชวงศ์อันเป็นที่รักไปเกี่ยวข้องกับการเมือง

เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายถึงคำว่าสงครามกลางเมือง อาจารย์เจมส์ เฟียรอนจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และได้รับการยอมรับจากฮาร์เวิร์ด และคอร์เนล ซึ่งได้ให้นิยามของคำว่าสงครามกลางเมืองไว้ว่า

“เป็นการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงภายในชาติเดียวกัน การจัดตั้งกลุ่มต่างๆที่มีจุดประสงค์เพื่อแย่งชิงอำนาจในส่วนกลาง หรือในส่วนภูมิภาค หรือเพื่อให้มีการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาล”

เฟียรอนได้เป็นผู้ร่วมเขียนกับนักวิชาการ เดวิด ดี ลาติน ในหนังสือปี ๒๕๔๖ ที่ชื่อว่า “เชื้อชาติ การจราจล และสงครามกลางเมือง” ประเด็นสำคัญในหนังสือบอกเอาไว้ว่า การที่จะเข้าใจถึงสงครามกลางเมืองก็คือ ต้องให้นิยามของการก่อความไม่สงบก่อน

ผู้เขียนทั้งสองอาจกล่าวได้ถูกต้อง โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งปัจจุบันนี้มีการก่อความไม่สงบ ๒ แบบ 

  • แบบหนึ่งเป็นพวกแนวร่วมรบแบบเปิดตัว พบในทางภาคใต้ซึ่งเป็นที่ ที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่
  • อีกแบบหนึ่งเป็นการก่อความไม่สงบที่หนักไปในทางการเมืองและยากที่จะอธิบาย เป็นการคุกคามต่อโครงสร้างอำนาจแบบเก่าและระบบค่านิยมแบบเดิมๆ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปจากคนรุ่นใหม่ๆก็ยิ่งมีพลังมากขี้น แต่คนเหล่านี้ก็ได้มีการขัดแย้งกันเองในระหว่างกลุ่ม ซึ่งมีเชื่อชาติ สัญชาติและฐานะทางการเมืองต่างกัน

เมื่ออาจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์พูดเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในประเทศไทย ใจเหมือนจะพูดถึงแบบที่ใช้กำลังอาวุธที่มีความรุนแรงมากกว่า

มุมมองของการก่อความไม่สงบได้รวมถึงความขัดแย้งในด้านอื่นด้วย เช่น การขัดขืน การจราจล และภาวะที่คล้ายสงคราม ความขัดแย้งทั้งหมดนี้อาจจะเพิ่มมากขี้นหรือไม่ก็มาจากการร่วมมือกับภายนอก การเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจจะเริ่มมาจากความไม่พอใจและการได้รับความอยุติธรรมจากทางการเมือง ทางศาสนา ทางเศรษฐกิจ และทางเชื้อชาติ หรือเป็นการผสมของปัจจัยเหล่านี้ รวมถึงความยุ่งยากในการอยู่รวมกันทางสังคม

ดังนั้นการก่อความไม่สงบในประเทศไทยในทุกวันนี้ อาจจะมีลักษณะคล้ายกับความครุกรุ่นจากหลายชนชั้นทั่วประเทศ อาจรวมถึงคำถามที่ถูกถามจากพวกจารีตนิยม (Traditionists) นักปฎิรูป (Reformists) จากนักวิชาการ จากคนไทย และจากชาวต่างชาติ ซึ่งจะทำเป็นละเลยเสียไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามตั้งคำถามอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขี้นอย่างเห็นได้ชัดแล้วในสังคมไทย

การเปลี่ยนแปลงรวมถึง

การพร้อมที่จะก่อกวนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งคำพูดและความรุนแรงที่มีขอบเขต เช่นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขี้นไม่กี่มาวันนี้ ที่รถของรัฐมนตรีถูกโยนระเบิดใส่(ไข่,รองเท้า,ขวดน้ำ เป็นต้น)

การรายงานข่าว และการวิเคราะห์ข่าวของสื่ออย่างน่าละอาย ขาดความซื่อตรง ขาดเนื้อหาในการวิเคราะห์ที่เป็นประโยชน์ และเต็มไปด้วยความเห็นและคำถามเพืยงแค่ “คำถามที่ปลอดภัย”

สังคมที่ขาดความสุขอย่างเห็นได้ชัด สังคมที่ถูกจำกัดอย่างต่อเนื่องจากธรรมเนียมปฎิบัติ และสังคมที่พยายามจะอดทนต่อผู้ที่มีสิทธิอย่างชอบธรรมในการพูดอะไรก็ได้ คำถามได้ถูกตั้งขี้นมาว่า อะไรคือคำว่าไทย ตัวอย่างเช่น คนไทยยังเป็นไทยไหมถ้าไม่เห็นด้วยกับการมีสถาบันกษัตริย์ คนไทยยังเป็นไทยไหมถ้ามีความเห็นด้วยกับชาวต่างชาติที่ส่งเสียงโต้แย้งต่อความคิดของฝ่ายขวาในประเทศไทย

มีความอิลักอิเหลื่อที่จะปรับปรุงหน่วยงานและกฎระเบียบต่างๆ ที่จะเป็นการนำไปสู่ความมีเสรีภาพและความเท่าเทียมกันในหมู่คนไทยด้วยกัน  พวกกษัตริย์นิยม (Royalists) พวกกษัตริย์นิยมจอมปลอม (Pseudo-royalists) และผู้ที่สนับสนุนธรรมเนียมโบราณของไทย คนเหล่านี้ได้เป็นผู้ที่คอยขัดขวางต่อผู้ที่ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะพวกเขาได้มองการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวว่า เป็นความผิดในการทำลายสถาบันที่ถูกต้องตามกฎหมายและทรงคุณค่า จากการที่พวกกษัตริย์นิยมและพวกนักเคลื่อนไหวหัวรุนแรงต่อต้านเสรีภาพในการพูดเหล่านี้ ได้ใช้วิธีการของกองทัพในการสอดแนมประชาชน เป็นเรื่องหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่ต้องการให้เปลี่ยนคงไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ

อาการโรคกลัวคนต่างชาติขี้นสมองได้แสดงให้เห็นได้ชัดอย่างต่อเนื่อง จากการออกข่าวอย่างเป็นทางการในการปกป้องและรักษาคุณค่าแห่งไทยและสถาบันต่างๆของไทย การกล่าวอ้างจากพวกต่อต้านการปฎิรูปรวมถึงความคิดที่ว่าคนไทยใดๆที่ฟังความคิดเห็นของต่างชาติ เป็นพวกที่โดนวางยาหรือพวกหลงผิด หรือพวกชาวต่างชาติเองนี่แหละที่จะเป็นพวกที่โจมตีสถาบันต่างๆของไทย โดยไม่ยอมทำความเข้าใจในความเป็นสถาบันต่างๆ และความสำคัญในการป้องกันสถาบันนั้น

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย น่าประหลาดมากที่ในบางเรื่องไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากเหมือนกับที่ได้ประกาศไว้ สิ่งที่ทำให้นักวิเคราะห์ทางการเมืองต้องช็อคมากสุด คือความจริงที่ว่าประเทศไทยได้มีการนำเอากำลังของกองทัพ เช่นเดียวกับ “ประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรต่อกัน” คือ ประเทศพม่า ลาว และกัมพูชากระทำกัน เพื่อสอดแนมประชาชน เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนจะไม่เป็นตัวอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ

นี่ไม่เพียงแต่เป็นการปฎิบัติการในทางที่ผิด แต่เป็นการก้าวเข้าไปสู่สงครามกลางเมือง ที่ประชาชนได้ถึงที่สุดแล้วกับการถูกยัดเยียด

ประเด็นหลักของความพยายามของรัฐบาลไทยในการกำจัดเสรีภาพในการพูด ก็เนื่องมาจากความหวาดกลัวของความคิดเห็นที่แตกต่างกับตัวเองอาจจะได้ผล และถ้าเป็นแบบนั้น วิธีการเก่าๆที่ตัวเองใช้อยู่ก็ต้องหลีกทางออกไป

(แฟรงค์ จี แอนเดอร์สัน เป็นตัวแทนของชาวอเมริกาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย แอนเดอร์สันเคยทำงานอาสาสมัครพีซคอของอเมริกาในด้านการพัฒนาชุมชุมในประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๔๙๙-๒๕๑๐ เป็นนักเขียนอิสระและเป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเป็นคนแรกคือ “โคราชโพสต์ www.thekoratpost.com” เขาได้ใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยถึง ๗ ปี คลุกคลีกับสื่อท้องถิ่น เขาได้ปริญญาโทในสาขาการจัดการเรื่องข่าวสาร และได้อนุปริญญาในสาขาเทคโนโลยี่การก่อสร้าง)

แปลและเรียบเรียง – chapter 11
ที่มา: http://www.upiasia.com/Politics/2009/03/20/is_thailand_headed_for_civil_war/2512/

7 ความเห็น leave one →
  1. sakol permalink
    วันจันทร์ 23 มีนาคม 2009 15:36 น.

    รักประเทศไทยครับ

  2. อดีตนักศึกษาวิชาทหารจากวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษรุ่นที่จบ2541 permalink
    วันอังคาร 24 มีนาคม 2009 22:04 น.

    มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากและอีกไม่นานด้วย มีแน่นเมื่อมี 2 มาตราฐานในประเทศเดียวกันใช้กฏหมายไม่เป็นธรรมและเลือกประฏิบัติ เสียงข้างน้อยไม่เคารพเสียงข้างมากเมื่อสถาบันเบื้องสูงตกเป็นเหยื่อทางการเมืองและถูกยกมากล่างอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มของตน สถาบันหลักของชาติ(ทหาร)เลือกข้างพร้อมประฏิวัติเงียบและจัดตั้งรัฐบาลโจรที่มีพรรคประชาทิปัดเป็นแกนนำและเป็นทาสรับใช้รัฐบาลโจรชั่วคอยแนะนำวางแผนเพื่อให้บันลุเป้าหมายของตน แบบไม่ยอมคลายอำนาจให้กับประชาชน มิหนำซํายังใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงาประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างไม่เป็นธรรมหวังเพื่อประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ของพรรคเพื่อความอยู่รอดและคงใว้ซํงอำนาจ หมายเหตุอย่าประมาทคนเสื้อแดงว่าไม่มีปํญญาถ้าคิดอย่านี้คิดผิด ไม่มีใครอยากให้เกิดแต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องปล่อยไปให้เป็นไปตามสถาณะการณ์ เมื่อคนเราถูกกดขี่ข่มเหงาไม่จับกลุ่มโจรชั่ว(พันทามิดฯ)มาดำเนินคดีและสร้างบันทัดฐานที่ผิดๆให้กับสังคมไทย อีกไม่นานมีแน่สงครามกลางเมื่อง

  3. punyachon permalink
    วันพฤหัสบดี 26 มีนาคม 2009 03:13 น.

    PM Abhisit…You said it yourself that Thai people are expecting from your government administration,right? But do you realize what they really want “to see” at the very moment after the country have been down and out for years from the Coup on Sept.19,2549 and later by the Trouble Makers of PAD’s ILLEGAL occupations at the Government House and the Bangkok International Airports!

    Do you consider by yourself that RECONCILIATION means:
    1) Rewarding your member activists with “the yellow shirts” who’ve started the outlaw games to help making you become the government?
    2) Checking after any movement of “the red shirts” but ignore to enforce the law to the ILLEGAL protests of the yellow one?

    Your actions are just contradicted to your speech!Now you yourself are “the one” to restart the real “POLITICAL UNREST” to THAILAND from your DOUBLE STANDARDS!!!

    How could you prevent the BLOOD SHED of our people if you choose to reconcile only with one side and turn back to the others???

  4. วันศุกร์ 27 มีนาคม 2009 11:23 น.

    อยากให้คนไทยสามัคคีกันครับ ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยครับ

    แวะมาเม้นกันบ้างนะครับ

  5. วันศุกร์ 27 มีนาคม 2009 11:24 น.

    อยากให้คนไทยสามัคคีกันครับ

    แวะมาเม้นกันบ้างนะครับ

  6. Saowapa permalink
    วันจันทร์ 6 เมษายน 2009 20:59 น.

    I beleive in PM Apisit .

  7. punyachon permalink
    วันจันทร์ 6 เมษายน 2009 22:46 น.

    Mark…I’m afraid you’re losing it.You’ve had many chances more than anybody else in the world! It’s all because you want to be the PM NOMINEE and you could not resist your PROXIES’orders to be their “puppet” and “a good boy”.Actually you are now in the position to be able to make Thai people come to RECONCILIATION if only you are honest to yourself.Unfortunately,you choose to take sides and increase the political conflicts to go deeper.Just go home and relax…You don’t deserve to be the prime minister of THAILAND!

ใส่ความเห็น