ราชวงศ์ควรเปลี่ยนกฎหมายที่ขยี้ประชาธิปไตยไทย
Right royal reasons to change the law that stifles Thai democracy
Andrew Walker and Nicholas Farrelly
๙ มีนาคม ๒๕๕๒ – The Sydney Morning Herald
ได้มีการเริ่มการรณรงค์ในระดับชาติ เรียกร้องให้มีการปฎิรูปกฎหมายหมิ่นฯ ที่ล้าหลังของประเทศไทย
ภายใต้กฎหมายนี้ การถกเถียงและการวิจารณ์ราชวงศ์อย่างตรงไปตรงมา อาจทำให้ติดคุกได้ในระหว่าง ๓-๑๕ ปี ในจดหมายเปิดผนึกที่มีถึงนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีนักวิชาการและบุคคลผู้มีชื่อเสียงมากกว่า ๕๐ คน ร่วมกันให้เหตุผลแย้งว่าการตั้งข้อหาในคดีหมิ่นฯ เป็นการทำลายความเป็นประชาธิปไตย และเป็นอุปสรรคต่อการถกเถียงในหัวข้อสำคัญๆ ของอนาคตการเมืองไทย
การร่วมลงลายชื่อในจดหมายดังกล่าว ซึ่งรวมไปถึงนักวิชาการของไทยที่เป็นที่นับถืออย่างสูงของโลก นักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนสากล และสมาคมนักวิชาการสากลระดับชั้นนำ ในจำนวนบุคคลที่มีชื่อเสียง บ๊อบ คาร์ อดีตผู้ว่าการรัฐนิวเซ้าเวลส์ของประเทศออสเตรเลีย ได้ร่วมลงชื่อเพิ่มขี้นเมื่อไม่นานมานี้
คนออสเตรเลียหลายๆคนอาจจะคิดว่า เรื่องคงหมดสิ้นไปแล้วหลังจากที่แฮรี นิโคไลเดส ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์ไทย และกลับไปยังประเทศออสเตรเลียแล้ว นิโคไลเดส ซึ่งเป็นนักเขียนจากเมลเบิร์นเคยทำงานเป็นครูในประเทศไทย ถูกจำคุกไทยนานถึง ๖ เดือน โทษฐานได้เขียนนวนิยาย ๑ ย่อหน้า เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเจ้าฟ้าชาย
การได้รับพระราชทานอภัยโทษเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เราไม่ควรไขว้เขวกับพระเมตตาจากราชวงศ์ ที่แสดงให้เห็นต่อหน้าสาธารณะเช่นนี้ กฎหมายยังคงอยู่ และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีการบุกสำนักงานของเว็บไซต์การเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ เนื่องจากเนื้อหาในเว็บไซต์ไม่เหมาะสมด้วยเรื่องของราชวงศ์ ผู้เรียกร้องทางการเมืองสองคนกำลังทรมานในคุก จากความเห็นที่ต่อต้านราชวงศ์ในการชุมนุมต่อหน้าสาธารณะเมื่อปีที่แล้ว นักวิชาการชื่อดังได้หนีไปอังกฤษหลังจากถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ดูหมิ่นราชวงศ์จากบทความในหนังสือเกี่ยวกับสถานะของกษัตริย์กับการทำรัฐประหารในเดือนกันยายน ๒๕๔๙ คนอื่นๆที่ได้ถูกจับเกี่ยวกับคดีหมิ่นฯ ได้แก่ นักข่าวบีบีซี นักศึกษาผู้ที่โพสต์บทความในเว็บไซต์ หนึ่งในปัญญาชนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย และผู้ซึ่งไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง
กฎหมายหมิ่นฯ ถูกใช้ในการควบคุมไม่ให้มีการพูดถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ที่มีต่อการเมืองไทยที่วุ่นวาย ใครก็ตามสามารถกล่าวหาอย่างแทบจะไม่มีมูลความจริงต่อผู้ที่ไม่เห็นด้วยทางการเมืองกับตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่คดีอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา จะไม่มีทางที่จะมีการสิ้นสุด คดีจะถูกพิจารณาอย่างเงียบๆ แทบจะไม่มีการรายงานคดีให้ประชาชนได้รับรู้ นี่คือปฎิบัติการทางกฎหมายในโลกมืดจากฝีมือการกดดันของรัฐ
ยิ่งเรื่องการสื่บราชบัลลังค์ใกล้เข้ามาเท่าไร การถกเถียงอย่างเปิดเผยในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับราชวงศ์นั้น ก็ควรจะมีมากขี้น กษัตริย์ทรงพระชนมายุ ๘๑ พรรษาแล้ว และมีสุขภาพที่ไม่อำนวย กฎหมายหมิ่นฯห้ามไม่ให้มีการพูดถึงเรื่องขององค์รัชทายาท เจ้าฟ้าชายวชิราลงกรณ์ แต่ข่าวซุบซิบเกี่ยวกับเรื่องชีวิตส่วนตัวขององค์รัชทายาทก็ถือเป็นเรื่องปกติ มีข่าวลือต่างๆเกี่ยวกับคุณสมบัติของพระองค์ เกี่ยวกับการพัวพันทางด้านธุรกิจ เกี่ยวกับสุขภาพและความยุ่งเหยิงของชีวิตรักของพระองค์ เหล่านี้เป็นขุมทองสำหรับบรรณาธิการของหนังสือประเภทซุบซิบต่างๆ และสำหรับนักวิจารณ์ในการพูดถึงเรื่องของราชวงศ์ ฉะนั้นกฎหมายหมิ่นฯจึงเป็นเครื่องค้ำจุนต่อชื่อเสียงของราชวงศ์
การรณรงค์ต่อต้านกฎหมายหมิ่นฯในระดับสากลเพื่อใช้กดดันรัฐบาลไทย และให้การสนับสนุนต่อคนในประเทศไทย ซึ่งค่อนข้างเสี่ยงชีวิตต่อการเสาะหาวิธีการถกเถียงอย่างเปิดเผยมากยิ่งขี้น เกี่ยวกับบทบาทของราชวงศ์ที่มีต่อชีวิตทางการเมืองของไทย นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตอบรับต่อการเรียกร้อง และกล่าวว่ารัฐบาลของเขาจะพิจารณาเรื่องนี้ภายในอาทิตย์นี้ ความหวังที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้ดูเป็นเรื่องริบหรี่ คดีหมิ่นฯที่มีต่อนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ซึ่งควรมีการพิจารณาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ถูกเลื่อนไปอีกหนึ่งเดือน อภิสิทธิ์เป็นผู้นำรัฐบาลที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ฉะนั้นคงแทบไม่มีโอกาสที่จะเห็นการแก้ไขกฎหมายนี้ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว
การเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายนี้อาจสร้างความสนใจ และได้รับการสนับสนุนบ้างจากบุคคลที่ไม่คาดฝัน กษัตริย์ได้ทรงแสดงความไม่สบายพระทัยเกี่ยวกับคดีหมิ่นฯในหลายวาระ เมื่อเดือนที่แล้วที่ปรึกษาของกษัตริย์ท่านหนึ่ง ได้ระบุว่า กฎหมายดังกล่าวมีปัญหา ความหวั่นเกรงอย่างนี้อาจจะไม่ใช่เป็นการผลักดันให้เกิดเสรีภาพในการพูด เป็นเพียงแต่ว่าราชวังคงทราบว่าทุกๆคดีหมิ่นฯ โดยเฉพาะเมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ได้สร้างความย่ำแย่ต่อภาพพจน์ของราชวงศ์
การปรับปรุงกฎหมายหมิ่นฯ ไม่ใช่เพียงแค่เป็นเรื่องราวของความขัดแย้งทางการเมือง และเรื่องลึกลับของพระราชวังในกรุงเทพ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนออสเตรเลียด้วย เป็นเรื่องสำคัญเพราะชาวออสเตรเลียได้ถูกจำคุกถึง ๖ เดือน จากข้อเขียนที่มีปัญหาเพียง ๑ ย่อหน้า ชาวออสเตรเลียคนอื่นๆอาจจะตกเป็นเหยื่อของกฎหมายนี้ก็ได้ แม้ความเห็นจะทำนอกประเทศไทย ที่สำคัญที่สุดคือ การปรับปรุงกฎหมายหมิ่นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเสรีภาพในการพูดเป็นเรื่องที่สำคัญ
ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้สะดุดลงตั้งแต่มีการทำรัฐประหารในเดือนกันยายน ๒๕๔๙ รัฐบาลเข้ามามีอำนาจจากการหนุนหลังของพวกคลั่งเจ้าอย่างสุดโต่ง ที่ออกไปรณรงค์กลางถนนและทำการยึดสนามบินนานาชาติในกรุงเทพเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ และราชวงศ์ได้มีบทบาทต่อการเมืองที่วุ่นวายเมื่อไม่นานมานี้ เวลานี้ประเทศตกอยู่ในสภาวะที่ไม่แน่นอน เป็นปลายรัชกาลของกษัตริย์ที่ครองราชย์มายาวนานที่สุด คนไทยหลายๆคนต้องการให้มีการถกเถียง เกี่ยวกับการเมืองในอนาคตอย่างเสรีและตรงไปตรงมา
กฎหมายหมิ่นฯ ได้นำพาไปสู่แนวทางที่ตรงกันข้าม ได้นำพาย้อนกลับไปสู่ระบบเผด็จการ
(แอนดรูว์ วอคเกอร์ และ นิโคลัส ฟาร์เรลลี่ ทำงานที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย วิทยาลัยเอเซียและแปซิฟิก ภาควิชาความสัมพันธ์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้)
แปลและเรียบเรียง – chapter 11
ที่มา: http://www.smh.com.au/opinion/right-royal-reasons-to-change-the-law-that-stifles-thai-democracy-20090308-8scf.html?page=-1
“เสรีภาพในการพูดเป็นเรื่องที่สำคัญ” ก็จริง แต่ที่สำคัญกว่า คือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูด หากมีการหมิ่น ไม่ว่าจะเป็นหมิ่นประมาท หรือ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ต้องรับผิดชอบตามตัวบทกฎหมาย ที่เป็นกติกาของสังคมนั้น
ตราบใดที่สนามฟุตบอลในอังกฤษยังกว้างยาวไม่เท่ากันทุกสนามได้ ทำไมกฏหมายที่บางประเทศใช้อยู่ ถึงจะต้องไปใช้ตามประเทศอื่น? ทั้งๆ ที่เล่นฟุตบอลตามกฎสากลของฟีฟ่าเหมือนกัน
ไม่ชอบก็ออกไปที่อื่นไป อย่ามาอยู่เลย
ฮ่า ฮ่า แหมเพิ่งรู้นะนี่ว่า แม้มาถึงยุคที่โลกก้าวหน้าถึงขนาดนี้ ยังมีคนบางคนที่ไม่ยอมรับความจริง งมงายแบบโงหัวไม่ขึ้น ไม่ฟังเหตุผล ไม่อยากรับรู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น จะขอเชื่อแบบที่เคยเชื่อ ไม่ยอมเปลี่ยน หน้าสงสารคนแบบนี้จริงๆ ไม่รู้ชีวิตข้างหน้า จะไปสู้รบตบมือกับคนอื่นยังไง
งั้นเพิ่มโทษ เป็นประหารชีวิตเลย
ดีไหมครับ??? คุณ Ie doc คุณ giffarinemlm
หมิ่นราชวงศ์ ต้องประหาร 9 ชั่วโคตร
อย่าว่าแต่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลยนะ
คนธรรมดาหมิ่นประมาทกันเองยังผิดกฎหมาย
แล้วถ้าจะให้เลิกกฎหมายนั้น ก็เลิกกฎหมายหมิ่นประมาทไปด้วยสิ
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องว่าสถาบันกันด้วย ที่มีประเทศอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เพราะ ราชวงศ์จักรีเหรอ
ไม่มีรัชกาลที่ 5 เราอาจจะสิ้นชาติหรือไม่ก็เป็นส่วนหนึ่งของพม่าไปแล้ว
ความกตัญญูน่ะมีบ้างไหม
มึงคนไทยเปล่า .
โครตพ่อโครตเเม่มึง ยุมาได้ทุกวันนี้เพราะใคร
เงินที่มึงมีใช้เพราะใคร พูจา ลืมกำพืด มึงไปยุกับพวก ต่างประเทศไป
มึงมันไม่ใช่คนไทย ทำตัว ลืมตัวตน
คุยอะไรกันนะ!!!!
คนที่ต้องการจะให้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์นั้น คุณเห็นชอบกับนักโทษหนีคดีอย่างคุณทักษิณ โดยไม่ได้คิดถึงความเป็นจริงที่ว่าในหลวง ท่านทรงรักประชาชนอย่างไร ท่านทรงเสียสละเพื่อประชาชนของท่านอย่างไร หันกลับมามองดูกันว่าทักษิณ ทำอะไรเพื่อประชาชนด้วยความจริงใจบ้าง ทำมาหากินอะไรถึงรวยเสียจนถูกยึทรัพย์ในไทย 70,000 ล้านบาท แล้วเอาเงินจากไหนไปให้อังกฤษยึดทรัพย์อีก 140,000 ล้านบาท โดยที่ยังเหลือเงินที่จะส่งน้ำเลี้ยงเพื่อปั่นให้ประเทศไทยมีความเดือดร้อนปราศจากความสงบสุขอย่างเช่นทุกวันนี้ นี่น่ะเหรอ คนรักประเทศไทย ทำไมไม่ยืนเคียงข้างประชาชนคนเสื้อแดงเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความถูกต้องล่ะ
แล้วท่านเท้า ทำมาหากินอะไรถึงรวยที่สุด??? บรูไน ยังเป็นรอง บ้านเขามีทองกะน้ำมันนะจะบอกให้
จริงอยู่สมัยนี้เป็นสมัยใหม่ แต่หากไม่มีอดีตจะมีปัจจุบันหรือไม่ คุณคนที่อยู่ในโลกยุกต์ก้าวหน้าน่ะ
ครอบครัวคงไม่ได้สั่งสอนให้ศึกษาอตีตที่ผ่านมาใช้ไหม ยุกใหม่เห่อตามเมืองนอกเมืองน่า จิตใจคนแบบพวก
คุณน่ะต่ำทรามกว่าคนในยุกเก่าเยอะ เลยไม่เคยมองเห็นสิ่งดีๆๆ ในอดีต
แบบนี้น่าสงสารยิ่งกว่า สงสารรวมไปถึงครอบครัวเลย ขอให้ตาสว่างจริงเถอะ
มันก็จริงนะกฏหมายหมิ่นนี้แหละคือตัวทำลายราชวงค์เอง
ผมรักในหลวงนะ ไม่ได้ชอบทักษิณแต่เสี่ยโอน่ะไม่ใช่แน่
ผมไม่ทราบว่าพวกคุณได้นำข้อมูลมาจากที่ไหนก็ตาม
การที่คนเราจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปได้นั้น เป็นเรื่องที่ดี
แต่จะต้องไม่แตกแยกกัน และจะต้องไม่ทำให้ประเทศชาติเสื่อมเสีย
การแสดงออกทางการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรแสดงออกทางความคิดให้อยู่ในขอบเขต
กฎเกณฑ์ของกฎหมาย และต้องอยู่ในดุลวินิจ
เชื่อเุถอะว่าคนเราทุกคนในประเทศมีใจรักชาติกันหมด
โดยเฉพาะไม่ควรไปพาดพิงเกี่ยวกับสถาบันฯ ในทุกๆ เรื่อง
เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาพูดกันน่้ะััคับ
ถ้าเราทุกคนรักประเทศเราก็ไม่ควรกล่าวถึงสถาบันฯ